Influencer Marketing คืออะไร? วิธีเลือกอินฟลูเอนเซอร์ให้เหมาะกับธุรกิจ

Influencer Marketing คืออะไร

Table of Contents

Influencer Marketing คืออะไร? หนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน ธุรกิจทุกขนาดต่างมองหาวิธีใช้ประโยชน์จากผู้มีอิทธิพลบนโลกออนไลน์เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้แนวทางนี้เติบโตอย่างต่อเนื่องคือพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับความคิดเห็นและคำแนะนำจากบุคคลที่พวกเขาเชื่อถือมากกว่าการโฆษณาแบบเดิม

อย่างไรก็ตาม การทำการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ให้ได้ผลจำเป็นต้องอาศัยกลยุทธ์ที่เหมาะสม การเลือกประเภทของ Influencer ที่ตรงกับแบรนด์ รวมถึงการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญ บทความนี้จะอธิบายทุกแง่มุมของการตลาดอินฟลูเอนเซอร์ ตั้งแต่ความหมาย ประเภทของ Influencer ไปจนถึงวิธีการเลือกและแนวโน้มในอนาคต เพื่อให้คุณสามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. ความหมาย Influencer Marketing คืออะไร?

การตลาดอินฟลูเอนเซอร์

1.1 ความหมายของการตลาดอินฟลูเอนเซอร์

กลยุทธ์ Influencer คือกลยุทธ์ทางการตลาดที่ใช้บุคคลที่มีอิทธิพลบนแพลตฟอร์มดิจิทัลในการโปรโมตสินค้า บริการ หรือแบรนด์ บุคคลเหล่านี้สามารถเป็นได้ทั้งคนดัง เน็ตไอดอล ผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ หรือบุคคลทั่วไปที่มีฐานผู้ติดตามจำนวนมากบนโซเชียลมีเดีย

การตลาดในรูปแบบนี้แตกต่างจากการโฆษณาทั่วไป เนื่องจากอาศัยความน่าเชื่อถือและความสัมพันธ์ระหว่าง Influencer กับผู้ติดตาม แทนที่จะใช้การโปรโมตแบบตรงไปตรงมา เนื้อหาที่นำเสนอจึงมักมีลักษณะเป็นธรรมชาติและกลมกลืนไปกับสไตล์ของผู้สร้างคอนเทนต์

1.2 วิธีการทำงานของ Influencer Marketing คืออะไร

การตลาดอินฟลูเอนเซอร์ทำงานผ่านการสร้างความร่วมมือระหว่างแบรนด์และ Influencer โดยมีรูปแบบหลักที่นิยมใช้ ได้แก่

  • Sponsored Content: แบรนด์จ่ายค่าตอบแทนให้ Influencer เพื่อสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการ
  • Affiliate Marketing: Influencer ได้รับค่าคอมมิชชั่นจากการขายสินค้าผ่านลิงก์หรือรหัสส่วนลด
  • Product Seeding: แบรนด์ส่งสินค้าฟรีให้ Influencer รีวิวหรือทดลองใช้
  • Brand Ambassador: Influencer ทำงานร่วมกับแบรนด์ในระยะยาวและเป็นตัวแทนของแบรนด์นั้น

การเลือกใช้วิธีที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางธุรกิจ งบประมาณ และความสัมพันธ์ที่ต้องการสร้างกับกลุ่มเป้าหมาย

2. ข้อดีและประโยชน์ของ Influencer Marketing คืออะไร

2.1 การตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์: ทำไมแบรนด์ถึงเลือกใช้?

การตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์กำลังกลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เนื่องจากสามารถสร้างความน่าเชื่อถือและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด ผู้บริโภคมักให้ความไว้วางใจกับคำแนะนำจากบุคคลที่พวกเขาติดตามมากกว่าการโฆษณาโดยตรงจากแบรนด์

นอกจากนี้ การร่วมงานกับ Influencer ยังช่วยให้แบรนด์สามารถสร้าง Engagement ที่สูงขึ้น เนื่องจากคอนเทนต์ที่ถูกสร้างขึ้นมักมีความเป็นธรรมชาติ และดึงดูดการมีส่วนร่วมจากผู้ติดตามผ่านการกดไลก์ คอมเมนต์ และแชร์ อีกทั้งยังช่วยให้แบรนด์ดูทันสมัย และเข้าถึงผู้บริโภคที่ใช้งานโซเชียลมีเดียเป็นหลัก

2.2 ข้อมูลสถิติที่ยืนยันประสิทธิภาพของการตลาดผ่านบุคคลที่มีอิทธิพล

  • 89% ของนักการตลาด เห็นว่า ROI ของ Influencer Marketing ดีกว่าหรือเทียบเท่ากับช่องทางการตลาดอื่น ๆ
  • 71% ของผู้บริโภค มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าตามคำแนะนำของ Influencer
  • ธุรกิจที่ใช้ Micro Influencer สามารถสร้าง Engagement ได้มากกว่าการใช้ Macro Influencer ถึง 60%

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าการตลาดอินฟลูเอนเซอร์ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสร้างการรับรู้แบรนด์ แต่ยังมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคอย่างแท้จริง แบรนด์ที่ใช้กลยุทธ์นี้อย่างเหมาะสมสามารถเพิ่มทั้งยอดขายและความภักดีต่อแบรนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. ประเภทของ Influencer Marketing คืออะไร ในตลาดไทย

วิธีเลือก Influencer เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จของแคมเปญการตลาดอินฟลูเอนเซอร์ ปัจจุบัน อินฟลูเอนเซอร์ถูกแบ่งออกเป็นหลายระดับตามจำนวนผู้ติดตามและลักษณะของการมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมาย แต่ละประเภทมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน แบรนด์จึงต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ทางการตลาด

3.1 ประเภทของ Influencer ตามจำนวนผู้ติดตาม

Influencer สามารถแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่

ประเภทจำนวนผู้ติดตามลักษณะเด่นเหมาะกับแบรนด์ประเภทใด
Mega Influencer1 ล้านคนขึ้นไปมีชื่อเสียงในวงกว้าง มีอิทธิพลระดับมหาชนแบรนด์ใหญ่ที่ต้องการการรับรู้ในวงกว้าง
Macro Influencer100,000 – 1 ล้านคนมีผู้ติดตามจำนวนมากและ Engagement สูงแบรนด์ระดับกลางถึงใหญ่ที่ต้องการกระตุ้นยอดขาย
Micro Influencer10,000 – 100,000 คนมีความใกล้ชิดกับกลุ่มเป้าหมายสูงแบรนด์ที่ต้องการ Engagement และ Conversion สูง
Nano Influencer1,000 – 10,000 คนมีความน่าเชื่อถือในชุมชนเล็ก ๆธุรกิจขนาดเล็กหรือแบรนด์เฉพาะกลุ่มที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับลูกค้า

Mega Influencer และ Macro Influencer เหมาะกับการสร้างการรับรู้แบรนด์ในวงกว้าง ในขณะที่ Micro และ Nano Influencer มักมี Engagement สูงกว่า และช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงได้มากขึ้น

3.2 การเลือกประเภทของ Influencer ให้เหมาะกับธุรกิจ

การเลือกประเภทของ Influencer ควรพิจารณาจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่

  1. งบประมาณ – Mega Influencer และ Macro Influencer มักมีค่าตัวสูง ในขณะที่ Micro และ Nano Influencer มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าและมักให้ ROI ที่ดีกว่าสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
  2. เป้าหมายของแคมเปญ – หากต้องการเพิ่ม Brand Awareness การใช้ Macro หรือ Mega Influencer อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า แต่ถ้าต้องการให้เกิด Conversion การใช้ Micro หรือ Nano Influencer อาจมีประสิทธิภาพสูงกว่า
  3. ลักษณะของผลิตภัณฑ์ – สินค้าที่มีมูลค่าสูงหรือเน้นภาพลักษณ์อาจต้องใช้ Macro หรือ Mega Influencer ในขณะที่สินค้าที่ต้องการรีวิวจริงจัง เช่น เครื่องสำอางหรือสินค้าไลฟ์สไตล์ อาจเหมาะกับ Micro และ Nano Influencer มากกว่า

4. วิธีเลือก Influencer ให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ

การเลือก Influencer ที่เหมาะสมไม่ใช่แค่การดูจำนวนผู้ติดตาม แต่ต้องพิจารณาถึงคุณภาพของเนื้อหา ความน่าเชื่อถือ และความสอดคล้องกับแบรนด์ด้วย การเลือกที่ถูกต้องสามารถช่วยให้แคมเปญบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4.1 เกณฑ์สำคัญในการเลือก Influencer Marketing คืออะไร

ความตรงกลุ่มเป้าหมาย (Audience Match)

หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดของการเลือก Influencer คือการพิจารณาว่ากลุ่มผู้ติดตามของพวกเขาสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์หรือไม่ การวิเคราะห์นี้ควรอ้างอิงจากข้อมูลประชากรศาสตร์ เช่น อายุ เพศ ที่ตั้ง และพฤติกรรมของผู้ติดตาม หาก Influencer มีกลุ่มผู้ติดตามที่ตรงกับลูกค้าเป้าหมาย โอกาสที่แคมเปญจะประสบความสำเร็จก็จะสูงขึ้น

อัตราการมีส่วนร่วม (Engagement Rate)

การมีผู้ติดตามจำนวนมากไม่ได้หมายความว่าแคมเปญจะได้ผลเสมอไป สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคืออัตราการมีส่วนร่วมของผู้ติดตามกับเนื้อหาที่ Influencer สร้างขึ้น โดย Engagement Rate ที่ดีแตกต่างกันไปตามแต่ละแพลตฟอร์ม เช่น

  • Instagram มักมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3-6%
  • TikTok ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่เน้นวิดีโอสั้น อาจสูงถึง 5-10%
  • Facebook มักมี Engagement ที่ต่ำกว่า โดยเฉลี่ยประมาณ 1-3%

แบรนด์ควรเลือก Influencer ที่ไม่ได้มีเพียงจำนวนผู้ติดตามสูง แต่ต้องมี Engagement ที่ดีด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าเนื้อหาที่เผยแพร่สามารถเข้าถึงและกระตุ้นให้เกิดปฏิสัมพันธ์จากกลุ่มเป้าหมายได้จริง

คุณภาพของเนื้อหา (Content Quality)

เนื้อหาที่ Influencer สร้างขึ้นมีผลโดยตรงต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ หากคอนเทนต์ดูเป็นโฆษณามากเกินไป อาจทำให้ผู้ติดตามไม่ให้ความสนใจหรือขาดความน่าเชื่อถือ ดังนั้น การเลือก Influencer ควรพิจารณาสไตล์การนำเสนอ รูปแบบการเล่าเรื่อง และความสามารถในการสร้างสรรค์เนื้อหาที่สามารถถ่ายทอดคุณค่าของแบรนด์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ

ประวัติและภาพลักษณ์ของ Influencer (Reputation & Brand Fit)

ก่อนที่จะร่วมงานกับ Influencer แบรนด์ควรตรวจสอบประวัติของพวกเขาอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นแนวคิด ทัศนคติ หรือพฤติกรรมในอดีตที่อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ นอกจากนี้ ค่านิยมและสไตล์ของ Influencer ก็ควรสอดคล้องกับแบรนด์ เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงที่เป็นธรรมชาติ และทำให้ผู้ติดตามของ Influencer รู้สึกถึงความจริงใจในการนำเสนอ

งบประมาณและผลตอบแทน (Budget & ROI)

แม้ว่า Influencer จะสามารถช่วยเพิ่มการรับรู้แบรนด์และกระตุ้นยอดขายได้ แต่การลงทุนในแคมเปญนี้ควรพิจารณาผลตอบแทนที่ได้รับด้วย แบรนด์สามารถใช้แนวทางการวัดผลที่หลากหลาย เช่น

  • CPM (Cost Per Mille) – ค่าใช้จ่ายต่อการเข้าถึงผู้ชม 1,000 ครั้ง
  • CPC (Cost Per Click) – ค่าใช้จ่ายต่อการคลิก
  • CPE (Cost Per Engagement) – ค่าใช้จ่ายต่อการมีส่วนร่วม

การวางแผนงบประมาณที่เหมาะสมและการเลือก Influencer ที่สามารถให้ผลลัพธ์คุ้มค่ากับต้นทุน จะช่วยให้แบรนด์ใช้เงินได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

4.2 เครื่องมือช่วยค้นหาและวิเคราะห์ Influencer Marketing คืออะไร

เพื่อให้แน่ใจว่า Influencer ที่เลือกสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีให้กับแบรนด์ได้ การใช้เครื่องมือวิเคราะห์เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ช่วยให้การตัดสินใจแม่นยำขึ้น ปัจจุบันมีแพลตฟอร์มหลายแห่งที่ช่วยตรวจสอบข้อมูลของ Influencer ไม่ว่าจะเป็นอัตราการมีส่วนร่วม การเติบโตของบัญชี หรือคุณภาพของผู้ติดตาม

HypeAuditor

เครื่องมือนี้ช่วยให้แบรนด์สามารถวิเคราะห์ Engagement Rate ของ Influencer รวมถึงตรวจสอบว่าผู้ติดตามของพวกเขาเป็นของจริงหรือไม่ ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงการร่วมงานกับบัญชีที่มีผู้ติดตามปลอม

Social Blade

เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยติดตามการเติบโตของบัญชี Influencer โดยให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดตาม การมีส่วนร่วม และแนวโน้มของบัญชีในช่วงเวลาต่าง ๆ

Noxinfluencer

เป็นเครื่องมือเฉพาะสำหรับ TikTok และ YouTube ที่ช่วยให้แบรนด์สามารถดูสถิติของ Influencer ได้อย่างละเอียด รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับค่าจ้างที่คาดการณ์ได้สำหรับแต่ละโพสต์

TrueHits

สำหรับตลาดไทย TrueHits เป็นเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์เว็บไซต์และโซเชียลมีเดีย ซึ่งสามารถใช้เพื่อดูแนวโน้มของการเข้าถึงและพฤติกรรมของผู้ใช้งานในแพลตฟอร์มต่าง ๆ

การใช้เครื่องมือเหล่านี้ร่วมกัน จะช่วยให้แบรนด์สามารถเลือก Influencer ที่มีศักยภาพและเหมาะสมกับเป้าหมายทางการตลาดได้ดียิ่งขึ้น ลดความเสี่ยงจากการใช้บุคคลที่มี Engagement ต่ำหรือมีผู้ติดตามที่ไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย

5. ตัวอย่างแคมเปญการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ที่ประสบความสำเร็จในไทย

Tiktok-อินฟลูเอนเซอร์

แบรนด์ที่ใช้การตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์อย่างมีประสิทธิภาพมักจะสามารถเพิ่มการรับรู้แบรนด์และสร้างยอดขายได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในประเทศไทยที่แพลตฟอร์มอย่าง TikTok, Instagram และ Facebook มีบทบาทสำคัญต่อพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค

5.1 กรณีศึกษา 1: แคมเปญของแบรนด์เครื่องสำอางกับ Micro Influencer

แบรนด์เครื่องสำอางไทยรายหนึ่งต้องการโปรโมตรองพื้นสูตรใหม่ที่มีจุดขายในเรื่องของความติดทนและเหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศไทย เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเลือกใช้ Micro Influencer บนแพลตฟอร์ม TikTok และ Instagram ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมสูงในกลุ่มผู้บริโภคที่สนใจความงามและเครื่องสำอาง

กลยุทธ์ที่ใช้

ในการดำเนินแคมเปญ แบรนด์เลือกทำงานร่วมกับ Micro Influencer ที่มีผู้ติดตามระหว่าง 20,000 – 50,000 คน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตราการมีส่วนร่วม (Engagement Rate) สูงกว่าผู้ติดตามจำนวนมาก แต่มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับกลุ่มเป้าหมายมากกว่า

เนื้อหาที่นำเสนอในแคมเปญถูกออกแบบให้เป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ โดยให้ Influencer ทำการรีวิวผลิตภัณฑ์ในรูปแบบ “First Impression” และ “Wear Test” ซึ่งช่วยให้ผู้ติดตามได้รับข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของรองพื้นแบบเรียลไทม์

นอกจากนี้ แบรนด์ยังใช้ Affiliate Link และ Discount Code เพื่อกระตุ้นให้เกิด Conversion โดยตรง โดยให้ผู้ติดตามของ Influencer สามารถใช้โค้ดพิเศษเพื่อรับส่วนลดเมื่อสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ของแบรนด์

ผลลัพธ์ที่ได้

แคมเปญนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยมี Engagement Rate เฉลี่ยสูงถึง 8% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงเมื่อเทียบกับมาตรฐานอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ยอดขายของผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นกว่า 150% ภายใน 2 สัปดาห์แรก หลังจากที่แคมเปญถูกเผยแพร่

ที่สำคัญ แบรนด์ได้รับการพูดถึงมากขึ้นบน TikTok และเกิดกระแส #รองพื้นติดทน ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ผู้บริโภคจำนวนมากทดลองใช้รองพื้นและแชร์ผลลัพธ์ผ่านโซเชียลมีเดีย ทำให้แคมเปญกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างโดยไม่ต้องใช้งบประมาณในการโฆษณาเพิ่มเติม

บทเรียนจากแคมเปญนี้

การเลือกใช้ Micro Influencer ที่มีผู้ติดตามไม่มากแต่มี Engagement สูง สามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการใช้ Influencer ที่มีผู้ติดตามจำนวนมากแต่มี Engagement Rate ต่ำ แสดงให้เห็นว่า “คุณภาพของกลุ่มผู้ติดตาม” สำคัญกว่าจำนวนผู้ติดตามเพียงอย่างเดียว

นอกจากนี้ การใช้ โค้ดส่วนลดและลิงก์พิเศษ เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นให้เกิด Conversion เนื่องจากช่วยให้ผู้บริโภครู้สึกว่ามีสิทธิพิเศษ และสามารถวัดผลแคมเปญได้อย่างชัดเจน

5.2 กรณีศึกษา 2: แบรนด์อาหารเสริมกับ Mega Influencer และการตลาดแบบไวรัล

แบรนด์อาหารเสริมชื่อดังต้องการสร้างกระแสและกระตุ้นยอดขายในกลุ่มวัยรุ่นที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและรูปร่าง ด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคที่นิยมเสพคอนเทนต์บน TikTok และ YouTube จึงตัดสินใจใช้ Mega Influencer ที่มีฐานแฟนคลับขนาดใหญ่เพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักในวงกว้าง

กลยุทธ์ที่ใช้

แบรนด์เลือกทำงานร่วมกับ Mega Influencer ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 1 ล้านคน ซึ่งเป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย โดยเนื้อหาที่ถูกสร้างขึ้นเป็นการทำ Challenge ไวรัล ที่ให้ Influencer ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ และแสดงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นภายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมจากกลุ่มเป้าหมาย แบรนด์ได้นำกลยุทธ์ User-Generated Content (UGC) มาใช้ โดยกระตุ้นให้ผู้ติดตามของ Influencer เข้าร่วม Challenge และแชร์ประสบการณ์ของตัวเอง ซึ่งช่วยให้เกิดคอนเทนต์จากผู้ใช้จริง ทำให้ผลิตภัณฑ์ถูกพูดถึงเป็นวงกว้างมากขึ้น

ผลลัพธ์ที่ได้

วิดีโอจาก Influencer ได้รับการดูมากกว่า 10 ล้านครั้งภายใน 1 สัปดาห์แรก ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมากสำหรับแคมเปญประเภทนี้ นอกจากนี้ แบรนด์ยังสามารถขึ้นเป็น อันดับ 1 ในหมวดอาหารเสริมบนแพลตฟอร์ม E-commerce ในช่วงเวลาที่แคมเปญกำลังดำเนินอยู่

ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจที่สุดคือ ยอดขายของผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นกว่า 300% ในช่วงแคมเปญ แสดงให้เห็นว่าการตลาดแบบไวรัลสามารถกระตุ้นให้เกิด Conversion ได้จริง หากใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสม

บทเรียนจากแคมเปญนี้

กรณีศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าการตลาดแบบไวรัลสามารถสร้าง Brand Awareness ได้อย่างรวดเร็ว และเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่มีพลังมากที่สุดในการทำให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักในวงกว้าง

นอกจากนี้ การใช้ Influencer ที่มีฐานแฟนคลับที่ภักดี สามารถช่วยให้เกิดกระแสและกระตุ้นยอดขายได้อย่างมหาศาล การที่ผู้ติดตามรู้สึกเชื่อมั่นและไว้วางใจ Influencer ทำให้พวกเขาพร้อมที่จะทดลองใช้ผลิตภัณฑ์และแนะนำต่อไปยังเครือข่ายของตัวเอง

ตัวอย่างแคมเปญที่กล่าวมาข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า การเลือกประเภทของ Influencer และกลยุทธ์ที่เหมาะสมเป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จ

  • Micro Influencer มี Engagement สูงและสามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้ดีในกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ ช่วยให้เกิด Conversion ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • Mega Influencer เหมาะกับแคมเปญที่ต้องการการรับรู้ในวงกว้าง และสามารถทำให้แบรนด์เป็นที่พูดถึงได้อย่างรวดเร็ว

ทั้งสองกลยุทธ์มีข้อดีที่แตกต่างกัน และสามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของแบรนด์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

6. ค่าใช้จ่ายของ Influencer Marketing คืออะไร และวิธีวัด ROI

การวางแผนงบประมาณเป็นสิ่งสำคัญในการทำการตลาดอินฟลูเอนเซอร์ค่าใช้จ่ายอาจแตกต่างกันไปตามประเภทของ Influencer แพลตฟอร์มที่ใช้ และประเภทของแคมเปญ

6.1 ค่าใช้จ่าย

ค่าใช้จ่ายของการตลาดป่านอินฟลูเอนเซอร์มีความแตกต่างกันไปตามแพลตฟอร์ม ประเภทของ Influencer และลักษณะของแคมเปญที่ต้องการสร้าง โดยทั่วไปแล้ว ราคาค่าจ้างของ Influencer จะพิจารณาจากปัจจัยหลักดังนี้

  • จำนวนผู้ติดตาม (Follower Count) – Influencer ที่มีผู้ติดตามมากมักมีอัตราค่าจ้างที่สูงกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่าผลลัพธ์จะดีกว่าเสมอไป
  • อัตราการมีส่วนร่วม (Engagement Rate) – Influencer ที่มี Engagement Rate สูงอาจเรียกค่าจ้างที่สูงกว่าผู้ที่มีผู้ติดตามมากแต่ Engagement ต่ำ
  • แพลตฟอร์มที่ใช้งาน – TikTok และ YouTube มักมีอัตราค่าจ้างสูงกว่า Instagram และ Facebook เนื่องจากเนื้อหาที่ผลิตต้องใช้ความพยายามมากกว่า
  • ประเภทของเนื้อหา – วิดีโอที่มีการตัดต่อคุณภาพสูงหรือคอนเทนต์ที่ต้องใช้การสร้างสรรค์มากขึ้น มักมีต้นทุนที่สูงกว่าการโพสต์ภาพนิ่งหรือข้อความสั้น ๆ

Estimated Price Range ของ Influencer ตามแพลตฟอร์มและประเภท

ประเภท InfluencerInstagram (ต่อโพสต์)TikTok (ต่อวิดีโอ)YouTube (ต่อวิดีโอ)
Nano Influencer (1K – 10K followers)2,000 – 5,000 บาท3,000 – 6,000 บาท5,000 – 10,000 บาท
Micro Influencer (10K – 100K followers)5,000 – 20,000 บาท6,000 – 30,000 บาท10,000 – 50,000 บาท
Macro Influencer (100K – 1M followers)20,000 – 100,000 บาท30,000 – 150,000 บาท50,000 – 300,000 บาท
Mega Influencer (1M+ followers)100,000+ บาท150,000+ บาท300,000+ บาท

หมายเหตุ:

  • ตัวเลขข้างต้นเป็นเพียงช่วงราคาประเมิน (Estimated Price Range) ซึ่งอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมและข้อตกลงระหว่างแบรนด์กับ Influencer
  • Influencer แต่ละคนอาจมีการกำหนดค่าจ้างที่แตกต่างกันตามปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความต้องการของตลาด ชื่อเสียงส่วนตัว และประเภทของเนื้อหาที่ต้องการสร้าง
  • แบรนด์สามารถเจรจาราคาหรือพิจารณาทางเลือกอื่น เช่น การแลกเปลี่ยนสินค้า (Barter) แทนการจ่ายเงินโดยตรง

6.2 วิธีวัดผลลัพธ์ (ROI)

การวัด ROI (Return on Investment) เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มั่นใจว่าแคมเปญให้ผลตอบแทนคุ้มค่ากับการลงทุน

ตัวชี้วัดสำคัญที่ต้องใช้ในการวัดผล

KPIวิธีวัดผล
Reachจำนวนคนที่เห็นคอนเทนต์ของ Influencer
Engagement Rate(ไลก์ + คอมเมนต์ + แชร์) / จำนวนผู้ติดตาม x 100
Click-Through Rate (CTR)จำนวนคลิกที่เกิดขึ้นจากโพสต์ของ Influencer
Conversion Rateจำนวนคนที่ซื้อสินค้าผ่านลิงก์หรือโค้ดส่วนลด
ROI (Return on Investment)(รายได้จากแคมเปญ – ค่าใช้จ่าย) / ค่าใช้จ่าย x 100

เครื่องมือที่ใช้วัดผล

  • Google Analytics – เช็คจำนวนคลิกและ Conversion ที่มาจาก Influencer
  • Facebook Pixel & TikTok Pixel – ติดตามการซื้อจากแคมเปญ Influencer
  • UTM Tracking & Discount Codes – ใช้วัดยอดขายที่มาจาก Influencer แต่ละคน

การวัดผลการตลาดอินฟลูเอนเซอร์ควรทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ดูยอดไลก์หรือจำนวนผู้ติดตามเท่านั้น แต่ต้องวิเคราะห์ผลกระทบต่อยอดขายและการรับรู้แบรนด์ด้วย

7. แนวโน้มกลยุทธ์ Influencer Marketing คืออะไร ในปี2025

อุตสาหกรรมการตลาดอินฟลูเอนเซอร์มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เนื่องจาก เทรนด์ Digital Marketingใหม่ ๆ ส่งผลให้แบรนด์ต้องปรับกลยุทธ์เพื่อให้ทันกับพฤติกรรมของผู้บริโภคและการเปลี่ยนแปลงของแพลตฟอร์ม การเข้าใจแนวโน้มล่าสุดจะช่วยให้ธุรกิจสามารถใช้กลยุทธ์ Influencer ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

7.1 การเติบโตของแพลตฟอร์มวิดีโอสั้น (Short-form Video)

TikTok, Instagram Reels และ YouTube Shorts ได้กลายเป็นแพลตฟอร์มหลักสำหรับการตลาดอินฟลูเอนเซอร์ และคอนเทนต์วิดีโอสั้นเป็นที่นิยมมากขึ้นเพราะสามารถดึงดูดความสนใจได้อย่างรวดเร็วและมีโอกาสไวรัลสูง

ตัวอย่างเทรนด์ที่เกิดขึ้น:

  • TikTok มีอัตราการเติบโตของการใช้ Influencer มากกว่า 30% ต่อปี
  • Instagram Reels มี Engagement Rate สูงกว่าการโพสต์แบบปกติถึง 67%
  • แบรนด์ต่าง ๆ เริ่มปรับกลยุทธ์ให้เน้นไปที่การร่วมมือกับ Influencer ในการสร้างวิดีโอสั้นที่ให้ความบันเทิงและให้คุณค่าแก่ผู้ชม

7.2 การใช้ AI และ Virtual Influencer

AI Virtual Influencer

AI กำลังเข้ามามีบทบาทในการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์มากขึ้น โดยเฉพาะ Virtual Influencer หรืออินฟลูเอนเซอร์เสมือนจริง ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในหมู่แบรนด์ระดับโลก

แนวโน้มที่น่าสนใจ:

  • Virtual Influencer อย่าง “Imma” และ “Lil Miquela” มีผู้ติดตามหลักล้านและได้รับความสนใจจากแบรนด์ชั้นนำ
  • แบรนด์สามารถควบคุมภาพลักษณ์และข้อความทางการตลาดของ Virtual Influencer ได้อย่างสมบูรณ์
  • AI ถูกใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลของ Influencer เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของแคมเปญและช่วยให้แบรนด์เลือก Influencer ได้แม่นยำขึ้น

7.3 การทำงานร่วมกันของ Influencer Marketing กับ Social Commerce

Social Commerce หรือการซื้อขายผ่านโซเชียลมีเดีย กำลังเป็นกระแสสำคัญ โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มอย่าง Facebook Shops, Instagram Shopping และ TikTok Shop

พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป:

  • 60% ของผู้บริโภคกล่าวว่าพวกเขาตัดสินใจซื้อสินค้าหลังจากเห็นรีวิวจาก Influencer
  • การใช้ Live Streaming + Influencer เพื่อขายสินค้าโดยตรงกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก
  • Influencer ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือโปรโมตแบรนด์อีกต่อไป แต่กลายเป็นช่องทางสำคัญที่ช่วยปิดการขายได้โดยตรง

7.4 การให้ความสำคัญกับ Micro และ Nano Influencer

แม้ว่าการใช้ Mega Influencer ยังคงมีประสิทธิภาพในการสร้างการรับรู้แบรนด์ แต่แบรนด์จำนวนมากเริ่มให้ความสนใจ Micro Influencer และ Nano Influencer มากขึ้น เนื่องจากมี Engagement Rate สูงกว่าและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจเฉพาะกลุ่มได้ดีกว่า

เหตุผลที่แบรนด์เลือกใช้ Micro และ Nano Influencer:

  • Engagement Rate สูงกว่าผู้ติดตามจำนวนมาก
  • ค่าใช้จ่ายต่ำกว่า แต่ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า
  • มีความน่าเชื่อถือสูงกว่าในสายตาของผู้ติดตาม

แนวโน้มที่เกิดขึ้นเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าการตลาดอินฟลูเอนเซอร์จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในกลยุทธ์การตลาดของแบรนด์ โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ และแพลตฟอร์มที่กำลังเติบโต

8. กฎหมายและจริยธรรมของ Influencer Marketing คืออะไร ในประเทศไทย

วิธีเลือก Influencer ไม่ได้เป็นเพียงกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มยอดขายและสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก แต่ยังต้องคำนึงถึงกฎหมายและจริยธรรมในการโฆษณา เพื่อให้แน่ใจว่าแคมเปญนั้นเป็นไปตามข้อกำหนดและไม่ก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อผู้บริโภค

8.1 กฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง

ในประเทศไทย การใช้ Influencer ในการโฆษณาต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่:

  • พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522: กำหนดให้โฆษณาต้องเป็นไปตามข้อเท็จจริง ไม่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด
  • พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560: ห้ามการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ หรือหลอกลวงเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า
  • หลักเกณฑ์ของ กสทช.: หาก Influencer โฆษณาสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ต้องได้รับการอนุญาตจาก อย. ก่อน

อย่างไรก็ตาม แบรนด์และ Influencer ควรศึกษากฎหมายเหล่านี้ให้ดี เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น

8.2 การเปิดเผยข้อมูล (Disclosure) และความโปร่งใส

หลายประเทศ มีกฎหมายกำหนดให้ Influencer ต้องแจ้งให้ชัดเจนว่าเนื้อหานั้นเป็นโฆษณา เพื่อให้ผู้บริโภครับรู้ว่าเป็นการโปรโมตสินค้า โดยทั่วไปแล้ว การระบุว่าโพสต์ได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์ช่วยให้เกิดความโปร่งใส และทำให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจได้อย่างเป็นธรรม

แม้ว่าในประเทศไทยจะยังไม่มีข้อบังคับที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่แบรนด์และ Influencer ก็ควรปฏิบัติตามแนวทางสากลเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือในการทำการตลาด

แนวทางปฏิบัติที่ดีเพื่อความโปร่งใส

การเปิดเผยข้อมูลสามารถทำได้หลายวิธี เช่น

  • การใช้ แฮชแท็ก ที่ชัดเจน เช่น #โฆษณา #รีวิวมีค่าตอบแทน #Sponsored #AD
  • การระบุในแคปชันหรือเนื้อหาว่าเป็น การร่วมงานกับแบรนด์ เช่น “โพสต์นี้ได้รับการสนับสนุนจาก…”
  • หลีกเลี่ยงการโฆษณาเกินจริงหรือให้ข้อมูลที่ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด เช่น การกล่าวอ้างสรรพคุณที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้

การเปิดเผยข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาไม่เพียงช่วยให้แคมเปญถูกต้องตามหลักจริยธรรม แต่ยังช่วยให้ผู้บริโภคไว้วางใจแบรนด์และ Influencer มากขึ้นในระยะยาว

8.3 ข้อควรระวังการเลือกใช้กลยุทธ์ Influencer Marketing คืออะไร

แม้ว่าการตลาดอินฟลูเอนเซอร์จะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่หากใช้อย่างไม่ระมัดระวัง อาจส่งผลเสียต่อแบรนด์และ Influencer เอง ปัญหาที่พบบ่อยมีดังนี้

การใช้รีวิวปลอม

การให้ Influencer รีวิวสินค้าที่พวกเขาไม่เคยใช้จริง อาจช่วยเพิ่มยอดขายในช่วงแรก แต่ในระยะยาวอาจทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าแบรนด์ไม่น่าเชื่อถือ หากถูกจับได้ว่าเป็นรีวิวปลอม อาจทำให้เกิดกระแสลบและส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์

การโฆษณาเกินจริง

หาก Influencer กล่าวอ้างสรรพคุณของสินค้าเกินจริง เช่น “ใช้แล้วเห็นผลใน 3 วัน” หรือ “ปลอดภัย 100%” อาจเป็นการสื่อสารที่ผิดพลาดและนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายได้ การให้ข้อมูลที่ตรงไปตรงมาและมีแหล่งอ้างอิงสนับสนุนจะช่วยให้แคมเปญมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น

การทำโฆษณากับสินค้าควบคุม

สินค้าบางประเภท เช่น ยา อาหารเสริม และผลิตภัณฑ์สุขภาพ ต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนดของ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) การทำโฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาตอาจทำให้แบรนด์และ Influencer ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

ผลกระทบของการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย

หากแคมเปญไม่เป็นไปตามกฎระเบียบที่กำหนด อาจก่อให้เกิดผลกระทบทั้งทางกฎหมายและชื่อเสียง เช่น

  • แบรนด์อาจถูกปรับหรือถูกดำเนินคดี หากทำโฆษณาที่ผิดกฎหมายหรือใช้ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง
  • Influencer อาจเสียชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือ ซึ่งอาจส่งผลให้แบรนด์อื่น ๆ ไม่ต้องการร่วมงานด้วยในอนาคต

เพื่อให้แคมเปญดำเนินไปอย่างถูกต้องและปลอดภัย แบรนด์ที่ต้องการใช้การตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ ควรทำงานร่วมกับทีมกฎหมายหรือที่ปรึกษาด้านการตลาด เพื่อให้แน่ใจว่าการสื่อสารทั้งหมดเป็นไปตามกฎหมาย และไม่ก่อให้เกิดปัญหาในอนาคต

9. วิธีเริ่มต้นแคมเปญ Influencer Marketing คืออะไร

โดยสรุป หลังจากที่เราเข้าใจกันไปแล้วว่า Influencer Marketing คืออะไร ซึ่งการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์เป็นกลยุทธ์ที่ทรงพลังในการสร้างการรับรู้แบรนด์และกระตุ้นยอดขาย แต่ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเลือก Influencer เพียงอย่างเดียว การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน การเลือกบุคคลที่เหมาะสม และการวางกลยุทธ์ที่สามารถวัดผลได้เป็นปัจจัยสำคัญ แบรนด์ควรวิเคราะห์ว่าต้องการสร้างการรับรู้ (Awareness) หรือเพิ่มยอดขาย (Conversion) จากนั้นเลือก Influencer ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายและแพลตฟอร์มที่เหมาะสม พร้อมใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพื่อตรวจสอบอัตราการมีส่วนร่วมและคุณภาพของผู้ติดตาม หลังจากแคมเปญเริ่มต้นแล้ว การติดตามผลและปรับปรุงกลยุทธ์เป็นสิ่งจำเป็น เครื่องมืออย่าง Google Analytics หรือ Discount Code สามารถช่วยวัดประสิทธิภาพและคำนวณ ROI ได้อย่างแม่นยำ

รวมถึง แนวโน้มสำคัญในปี 2024 ได้แก่ วิดีโอสั้น การใช้ AI และ Virtual Influencer รวมถึงข้อกำหนดทางกฎหมายที่เน้นความโปร่งใสในการโฆษณา หากดำเนินแคมเปญอย่างมีกลยุทธ์และปรับตัวให้ทันกับพฤติกรรมผู้บริโภค แบรนด์จะสามารถใช้การตลาดอินฟลูเอนเซอร์เป็นเครื่องมือที่สร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้และยั่งยืน

Q&A: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Influencer Marketing

Q1: การตลาดอินฟลูเอนเซอร์เหมาะกับธุรกิจประเภทไหนบ้าง?

A: การตลาดผ่านบุคคลที่มีอิทธิพลสามารถใช้ได้กับธุรกิจแทบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องสำอาง แฟชั่น เทคโนโลยี อาหารเสริม หรือบริการดิจิทัล อย่างไรก็ตาม ธุรกิจที่ต้องการสร้างความน่าเชื่อถือหรือกระตุ้นให้เกิดการบอกต่อมักจะได้ประโยชน์จากกลยุทธ์นี้มากที่สุด

Q2: ควรเลือกใช้ Influencer ประเภทไหนจึงจะคุ้มค่ากับงบประมาณ?

A: ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของแคมเปญ
– สร้างการรับรู้ (Awareness) ควรใช้ Macro หรือ Mega Influencer
– กระตุ้น Engagement และยอดขาย ควรใช้ Micro หรือ Nano Influencer
– หากมีงบประมาณจำกัด ควรเริ่มจาก Micro Influencer ที่มีอัตราการมีส่วนร่วมสูง

Q3: วัดผลลัพธ์ของการตลาดอินฟลูเอนเซอร์ได้อย่างไร?

A: ใช้ KPI ที่ชัดเจน เช่น
Reach & Impressions – วัดจำนวนคนที่เห็นคอนเทนต์
Engagement Rate – ดูจำนวนไลก์ คอมเมนต์ และแชร์
Click-Through Rate (CTR) – ตรวจสอบจำนวนคลิกที่เกิดขึ้น
Conversion Rate – ดูว่ายอดขายหรือการสมัครสมาชิกเพิ่มขึ้นแค่ไหน
ROI (Return on Investment) – เปรียบเทียบรายได้ที่ได้รับกับค่าใช้จ่ายที่ลงทุนไป

Q4: Influencer กับ KOL (Key Opinion Leader) แตกต่างกันอย่างไร?

A: Influencer มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของผู้ติดตามผ่านโซเชียลมีเดีย ขณะที่ KOL เป็นผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเฉพาะ เช่น แพทย์ นักโภชนาการ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ซึ่งมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคในเชิงลึกมากกว่า

Q5: งบประมาณน้อยสามารถทำ Influencer Marketing ได้หรือไม่?

A: ได้ ธุรกิจขนาดเล็กสามารถใช้ Nano หรือ Micro Influencer ที่มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า หรือใช้กลยุทธ์ Barter Collaboration (ให้สินค้าฟรีเพื่อรีวิวแทนการจ่ายเงิน) ก็เป็นอีกทางเลือกที่ดี

Q6: ทำไมบางแคมเปญ Influencer ถึงไม่ได้ผล?

A: ปัจจัยที่ทำให้แคมเปญไม่ประสบความสำเร็จ อาจเกิดจาก
– เลือก Influencer ที่ไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
– ขาดการวางกลยุทธ์และ Call-to-Action (CTA) ที่ชัดเจน
– ใช้ KPI วัดผลที่ไม่เหมาะสมกับเป้าหมายของแคมเปญ
– ขาดความโปร่งใส หรือไม่ได้เปิดเผยว่าเป็นโฆษณา ทำให้สูญเสียความน่าเชื่อถือ

Q7: ควรใช้แพลตฟอร์มไหนสำหรับ Influencer Marketing?

A: ขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมาย
Instagram & TikTok – เหมาะกับสินค้าความงาม แฟชั่น อาหาร และไลฟ์สไตล์
YouTube – เหมาะกับสินค้าที่ต้องการรีวิวแบบละเอียด เช่น เทคโนโลยี หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า
Facebook – เหมาะกับแคมเปญที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่กว้างขึ้น
LinkedIn – เหมาะกับธุรกิจ B2B และ Influencer ด้านอาชีพหรืออุตสาหกรรม

Q8: อนาคตของการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์จะเป็นอย่างไร?

A: แนวโน้มสำคัญในอนาคต ได้แก่
– AI และ Virtual Influencer จะมีบทบาทมากขึ้น
– Micro และ Nano Influencer จะได้รับความนิยมต่อเนื่อง
– Live Commerce และ Social Commerce จะกลายเป็นช่องทางสำคัญ
– แบรนด์จะให้ความสำคัญกับ Influencer ที่มีความน่าเชื่อถือและมีฐานผู้ติดตามจริงมากกว่าจำนวนผู้ติดตามที่เยอะ

หากคุณกำลังมองหาทีมงานที่สามารถช่วยให้แคมเปญ Influencer Marketing ของคุณประสบความสำเร็จ ติดต่อเราได้ที่อินสไปรา ดิจิตอลเอเจนซี่ เราพร้อมช่วยคุณสร้างกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพและวัดผลได้จริง