เทรนด์การทำ SEO 2025: อัปเดต 11 แนวโน้มสำคัญที่ธุรกิจต้องรู้

เทรนด์การทำ SEO 2025

Table of Contents

เทรนด์การทำ SEO 2025 กำลังเปลี่ยนไป

เทรนด์การทำ SEO กำลังพัฒนาไปอีกระดับ โดย Google ใช้ AI และ Machine Learning ใน SEO เพื่อปรับปรุงการจัดอันดับให้แม่นยำยิ่งขึ้น ธุรกิจที่ต้องการเพิ่มโอกาสติดอันดับต้องให้ความสำคัญกับ E-E-A-T ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ที่ Google ใช้ประเมินคุณภาพของเนื้อหา

อย่างไรก็ตาม SEO ยังคงมีความสำคัญ แต่เทรนด์การทำ SEO 2025 กำลังก้าวไปอีกระดับ ผู้ที่สามารถปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงนี้จะสามารถใช้ข้อได้เปรียบเพื่อแข่งขันในตลาดดิจิทัล คีย์เวิร์ดและ Backlink ยังคงจำเป็น แต่ปัจจัยที่มีผลต่อ SEO มากขึ้นในปีนี้ ได้แก่ ประสบการณ์ของผู้ใช้ (UX), ความเร็วเว็บไซต์, การสร้างเนื้อหาที่เหมาะกับ AI และการขยายตัวไปยังแพลตฟอร์มการค้นหาอื่นๆ

บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจ 11 เทรนด์การทำ SEO 2025 พร้อมแนวทางปฏิบัติที่สามารถนำไปใช้ได้จริง เพื่อช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับ ดึงดูดผู้เข้าชม และเติบโตได้ในโลกดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

อัปเดต 11 เทรนด์การทำ SEO 2025 ที่ไม่ควรมองข้าม

1. AI และการเปลี่ยนแปลงของ SERP

Search Engine Results Page

Google ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือค้นหาที่แสดงลิงก์อีกต่อไป ปัจจุบัน ระบบค้นหากำลังก้าวเข้าสู่ยุคของ AI Overviews ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ได้รับคำตอบที่สรุปจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ โดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บไซต์ สิ่งนี้ทำให้หลายธุรกิจเริ่มเผชิญกับความท้าทายใหม่ เนื่องจากปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ที่เคยได้รับจาก Google อาจลดลง

จุดเปลี่ยนสำคัญของเทรนด์การทำ SEO 2025 กับ AI Overviews และ Search Generative Experience (SGE)

แนวโน้มการใช้งาน AI ใน Google มีความชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะการเปิดตัว AI Overviews ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์สังเคราะห์คำตอบจากหลายแหล่งข้อมูลและนำเสนอในรูปแบบที่กระชับและเข้าใจง่าย

สำหรับนักการตลาดและเจ้าของธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงนี้หมายถึงอัตราการคลิก (CTR) ที่ลดลง แม้ว่าเว็บไซต์จะอยู่ในอันดับต้น ๆ ของผลการค้นหาก็ตาม นี่จึงเป็นสัญญาณว่ากลยุทธ์ SEO ในอดีตอาจไม่เพียงพออีกต่อไป

เรียนรู้วิธีเพิ่ม CTR เว็บไซต์ ให้ยอดคลิกพุ่ง พร้อมเทคนิคปรับ SEO ให้ติดอันดับ

กลยุทธ์ปรับตัว: ทำอย่างไรให้ธุรกิจยังคงแข่งขันได้

การมองหาโอกาสจาก AI Overviews แทนที่จะมองเป็นอุปสรรค เป็นแนวทางที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสร้างเนื้อหาที่สอดคล้องกับการแสดงผลแบบใหม่ของ Google จะช่วยเพิ่มโอกาสที่ข้อมูลของธุรกิจจะถูกนำเสนอในส่วนของ AI Overviews

แนวทางสำคัญที่ควรดำเนินการ ได้แก่:

  • ใช้โครงสร้างเนื้อหาแบบ FAQ หรือ Q&A ที่สามารถตอบคำถามได้อย่างชัดเจนและตรงประเด็น
  • เพิ่มสถิติและข้อมูลอ้างอิงจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เพื่อเสริมความน่าเชื่อถือของเนื้อหา
  • ใช้ Schema Markup เช่น FAQ Schema หรือ How-to Schema เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจโครงสร้างข้อมูลของเว็บไซต์มากขึ้น
  • สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ ตามหลัก E-E-A-T (Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness) โดยนำเสนอข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม

ปัจจุบัน Google ไม่ได้พิจารณาเพียงแค่คีย์เวิร์ด แต่ยังใช้ AI ในการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้เพื่อพิจารณาว่าเว็บไซต์ใดสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ค้นหาได้ดีที่สุด

ปัจจัยที่ส่งผลต่ออันดับมากขึ้น ได้แก่:

  • ระยะเวลาที่ผู้ใช้ใช้บนเว็บไซต์ (Time on Page) ซึ่งสะท้อนว่าเนื้อหามีคุณค่าเพียงใด
  • การมีส่วนร่วม (Interaction Signals) เช่น การเลื่อนอ่านเนื้อหา หรือการคลิกไปยังหน้าอื่น ๆ ในเว็บไซต์
  • อัตราการออกจากหน้าเว็บทันที (Bounce Rate) ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าเนื้อหาไม่ตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการ

ดังนั้น SEO ในปัจจุบันจึงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของ “การทำให้เว็บไซต์ติดอันดับ” เท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้ธุรกิจสามารถแข่งขันและเติบโตอย่างยั่งยืนในโลกดิจิทัล

2. เทรนด์การทำ SEO 2025 กับเครื่องมือค้นหาทางเลือกที่มาแรง

หลายปีที่ผ่านมา Google ครองตลาดการค้นหาและเป็นแหล่งข้อมูลหลักของผู้ใช้มาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม เทรนด์การทำ SEO กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ การค้นหาข้อมูลไม่ได้จำกัดอยู่แค่ใน Google อีกต่อไป แต่ขยายไปยังเครื่องมือค้นหาแบบใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI รวมถึงแพลตฟอร์มเฉพาะทางที่สามารถให้คำตอบได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น

เครื่องมือค้นหาที่ใช้ AI กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ไม่ว่าจะเป็น:

  • ChatGPT (OpenAI Search) ที่สามารถให้คำตอบแบบโต้ตอบและสรุปเนื้อหาได้อย่างรวดเร็ว
  • Perplexity AI ที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือค้นหาที่อ้างอิงข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้โดยตรง
  • Bing AI ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการค้นหาแบบดั้งเดิมกับระบบ AI ที่สามารถวิเคราะห์คำถามและให้คำตอบที่แม่นยำ

แพลตฟอร์มเหล่านี้เริ่มดึงดูดผู้ใช้ที่ต้องการข้อมูลแบบเจาะลึก โดยไม่ต้องเสียเวลาคลิกผ่านเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อหาข้อมูลที่ต้องการ นี่อาจส่งผลให้การพึ่งพา Traffic จาก Google ลดลง และธุรกิจจำเป็นต้องพิจารณาแนวทางการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านช่องทางอื่น ๆ เพิ่มเติม

นอกจาก AI Search Engines แล้ว ผู้ใช้จำนวนมากยังหันไปใช้แพลตฟอร์มเฉพาะทางที่สามารถให้ข้อมูลได้แม่นยำกว่า Google

อย่างเช่น:

  • Reddit และ Quora สำหรับการค้นหาข้อมูลจากประสบการณ์ของผู้ใช้จริง
  • YouTube และ TikTok สำหรับการค้นหาข้อมูลผ่านวิดีโอ
  • Amazon และ Shopee สำหรับการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าโดยตรง

การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้แบรนด์จำเป็นต้องขยายกลยุทธ์ SEO ออกไปสู่ Search Beyond Google เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

กลยุทธ์ปรับตัวให้สอดคล้องกับเครื่องมือค้นหาทางเลือก

นักการตลาดที่ต้องการรักษาความสามารถในการแข่งขัน จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ SEO ให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มโอกาสในการปรากฏบนแพลตฟอร์มเหล่านี้

แนวทางสำคัญที่ควรดำเนินการ ได้แก่:

  • เพิ่มการทำคอนเทนต์ที่เหมาะกับ AI Search Engines เช่น การตอบคำถามในรูปแบบบทความที่กระชับและชัดเจน
  • ใช้ SEO สำหรับ YouTube และ TikTok โดยเน้นคำสำคัญในหัวข้อและคำอธิบายวิดีโอ
  • สร้างเนื้อหาที่ให้คุณค่าในชุมชนออนไลน์ เช่น การมีส่วนร่วมใน Reddit และ Quora เพื่อเสริมความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์
  • เพิ่มการใช้ Structured Data และ Schema Markup เพื่อให้ AI สามารถอ่านและเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น

พฤติกรรมของผู้ใช้ออนไลน์เปลี่ยนไปมากกว่าที่เคย การพึ่งพาเพียง Google อาจไม่เพียงพออีกต่อไป ธุรกิจที่ต้องการเติบโตและสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน จำเป็นต้องขยายกลยุทธ์ SEO ไปยังแพลตฟอร์มการค้นหาใหม่ ๆ และปรับตัวให้ทันกับเทรนด์ของ AI Search

3. การค้นหาผ่านชุมชนออนไลน์และเนื้อหาที่สร้างโดยผู้ใช้ (User-Generated Content – UGC) กำลังมีอิทธิพลมากขึ้น

ข้อมูลที่มาจากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการอาจไม่ใช่แหล่งข้อมูลแรกที่ผู้บริโภคเลือกใช้อีกต่อไป ปัจจุบัน ผู้ใช้จำนวนมากขึ้นหันไปหาคำตอบจากชุมชนออนไลน์ (Online Communities) และเนื้อหาที่สร้างโดยผู้ใช้ (User-Generated Content – UGC) แทนที่จะพึ่งพาผลการค้นหาจาก Google เพียงอย่างเดียว

ทำไมการค้นหาผ่านชุมชนออนไลน์จึงได้รับความนิยมมากขึ้น?

  1. ข้อมูลที่มาจากประสบการณ์จริง – ผู้ใช้ให้ความสำคัญกับความคิดเห็นจากคนที่มีประสบการณ์ตรงมากกว่าบทความโฆษณาหรือเนื้อหาที่ถูกปรับแต่งเพื่อ SEO
  2. ความน่าเชื่อถือและความเป็นกลาง – แพลตฟอร์มเช่น Reddit, Pantip หรือ Quora ถูกมองว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่ “ไม่ถูกควบคุมโดยแบรนด์” ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าความคิดเห็นที่ได้รับมีความเป็นกลางมากกว่า
  3. การมีปฏิสัมพันธ์และถาม-ตอบได้ทันที – ผู้คนสามารถถามคำถามและได้รับคำตอบจากผู้ใช้รายอื่นในเวลารวดเร็ว ซึ่งต่างจากบทความ SEO ทั่วไปที่ไม่สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ได้

แพลตฟอร์มสำคัญที่กำลังมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการค้นหา

  • Reddit และ Quora – เป็นแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่สำหรับบทสนทนาและคำถามเชิงลึกในแทบทุกอุตสาหกรรม
  • Pantip และกลุ่ม Facebook – เป็นที่นิยมในไทยสำหรับการค้นหาคำแนะนำ รีวิวสินค้า และประสบการณ์จริงจากผู้ใช้
  • TikTok และ YouTube Shorts – ผู้ใช้เริ่มค้นหาคำตอบผ่านวิดีโอสั้นมากขึ้น โดยเฉพาะรีวิวสินค้าและ How-to
  • LinkedIn และ Twitter (X) – สำหรับเนื้อหาด้านธุรกิจ เทคโนโลยี และแนวคิดเชิงกลยุทธ์

แนวทางปรับกลยุทธ์ SEO ให้เหมาะกับพฤติกรรมใหม่นี้

ธุรกิจที่ต้องการรักษาความสามารถในการแข่งขันในยุคที่ UGC มีอิทธิพลมากขึ้น ควรปรับกลยุทธ์ SEO โดยให้ความสำคัญกับการมีตัวตนบนแพลตฟอร์มเหล่านี้ ไม่ใช่เพียงแค่ทำ SEO บนเว็บไซต์ของตัวเองเท่านั้น

แนวทางที่ควรนำไปใช้ ได้แก่:

สร้างบทสนทนาและมีส่วนร่วมในชุมชนออนไลน์:

  • ตอบคำถามที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจบน Reddit, Quora หรือ Pantip
  • ให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์โดยไม่เน้นขายสินค้าโดยตรง

สนับสนุนให้ลูกค้าสร้างเนื้อหาเกี่ยวกับแบรนด์:

  • กระตุ้นให้ลูกค้าแชร์ประสบการณ์ผ่านรีวิวหรือโพสต์ในโซเชียลมีเดีย
  • ใช้ UGC มาสร้างคอนเทนต์เสริมความน่าเชื่อถือ

ทำ SEO สำหรับ Social Media และ Video Search:

  • ใช้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องใน Hashtag และคำอธิบายวิดีโอ
  • เพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาวิดีโอให้ตรงกับพฤติกรรมการค้นหาใหม่

เชื่อมโยง SEO บนเว็บไซต์กับการสนทนาในชุมชนออนไลน์:

  • ใช้เนื้อหาที่ได้รับความนิยมจากชุมชนออนไลน์มาเป็นไอเดียสำหรับการเขียนบทความ
  • ใส่ลิงก์จากบทสนทนาที่มีคุณค่าไปยังเว็บไซต์เพื่อเสริมความน่าเชื่อถือ

เทรนด์การทำ SEO 2025 นี้แสดงให้เห็นว่าไม่ได้จำกัดแค่การทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google เท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการสร้างความน่าเชื่อถือและการปรากฏตัวในแพลตฟอร์มที่ผู้ใช้ให้ความสำคัญ ธุรกิจที่สามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับพฤติกรรมใหม่นี้ จะสามารถสร้างโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้นและมีอิทธิพลมากกว่าคู่แข่งที่ยังคงยึดติดกับกลยุทธ์ แบบเดิม ๆ

แนวโน้มการตลาด influencer SEO

4. UX และ Core Web Vitals เทรนด์การทำ SEO ที่สำคัญมากขึ้น

ไม่กี่ปีที่ผ่านมา Google ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้ใช้ (UX) มากขึ้น และแนวโน้มนี้ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญต่อ SEO ในปี 2025 เว็บไซต์ที่สามารถมอบประสบการณ์ที่ราบรื่น โหลดเร็ว และใช้งานง่าย จะมีโอกาสได้อันดับที่ดีขึ้นบนผลการค้นหา

Core Web Vitals: ปัจจัยที่ Google ใช้ประเมิน UX บนเว็บไซต์

Google ยังคงให้ความสำคัญกับ Core Web Vitals ซึ่งเป็นตัวชี้วัดประสบการณ์ของผู้ใช้ รวมถึงการเปลี่ยนไปใช้ Mobile-First Indexing ทำให้เว็บไซต์ที่โหลดเร็วและรองรับมือถือมีโอกาสได้รับอันดับที่ดีขึ้น

1. Largest Contentful Paint (LCP): ความเร็วในการโหลดเนื้อหาหลัก

  • เว็บไซต์ที่โหลดช้าเกินไปจะส่งผลให้ผู้ใช้กดออกจากหน้าเว็บก่อนที่จะได้อ่านเนื้อหา
  • ค่า LCP ที่ดีควรอยู่ที่ต่ำกว่า 2.5 วินาที

2. First Input Delay (FID) → เปลี่ยนเป็น Interaction to Next Paint (INP) ในปี 2024

  • เดิมที Google ใช้ FID เพื่อวัดความเร็วของการตอบสนองเมื่อผู้ใช้โต้ตอบกับเว็บไซต์
  • แต่ในปี 2025 INP จะเป็นตัวชี้วัดหลัก ซึ่งวัดการตอบสนองโดยรวมของหน้าเว็บต่อการโต้ตอบของผู้ใช้ ค่า INP ที่ดีควรต่ำกว่า 200 มิลลิวินาที

3. Cumulative Layout Shift (CLS): ความเสถียรขององค์ประกอบบนหน้าเว็บ

  • หากองค์ประกอบบนหน้าเว็บ เช่น ปุ่ม หรือข้อความ ขยับตำแหน่งในระหว่างการโหลด อาจทำให้ผู้ใช้เกิดความสับสน
  • ค่า CLS ควรต่ำกว่า 0.1 เพื่อให้หน้าเว็บมีเสถียรภาพ

เทรนด์การทำ SEO ในปี 2025 ยังคงเน้น Mobile-First Indexing

จากสถิติพบว่ามากกว่า 60% ของปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์มาจากอุปกรณ์มือถือ Google ยังคงใช้ Mobile-First Indexing ซึ่งหมายความว่าเว็บไซต์ที่ไม่ได้ออกแบบให้เหมาะกับมือถือ อาจได้รับผลกระทบด้านอันดับ

แนวทางที่ช่วยปรับปรุง Mobile UX ได้แก่:

  • ใช้ Responsive Design เพื่อให้เว็บไซต์แสดงผลได้ดีบนทุกขนาดหน้าจอ
  • ลดขนาดของไฟล์รูปภาพและวิดีโอ เพื่อให้โหลดเร็วขึ้น
  • ปรับขนาดปุ่มและเมนูให้สามารถคลิกได้ง่ายบนหน้าจอมือถือ

เทรนด์การทำ SEO ด้าน Page Speed ยังคงปัจจัยสำคัญ

เว็บไซต์ที่โหลดช้าจะส่งผลให้ Bounce Rate สูงขึ้น และ Google จะมองว่าเว็บไซต์นั้นไม่ได้มอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ การปรับปรุงความเร็วเว็บไซต์จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

วิธีเพิ่มความเร็วให้เว็บไซต์:

  • เปิดใช้งาน Lazy Loading สำหรับรูปภาพและวิดีโอ
  • ใช้ Content Delivery Network (CDN) เพื่อช่วยโหลดข้อมูลได้เร็วขึ้น
  • ลดการใช้ JavaScript และ CSS ที่ไม่จำเป็น
  • ใช้ Google PageSpeed Insights หรือ Lighthouse เพื่อตรวจสอบปัญหาด้านความเร็วของเว็บไซต์

เว็บไซต์ที่โหลดเร็ว ใช้งานง่าย และมี UX ที่ดี ไม่เพียงแต่ช่วยให้อันดับดีขึ้นบน Google แต่ยังช่วยให้ผู้เข้าชมอยู่บนเว็บไซต์นานขึ้น และเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนผู้เยี่ยมชมให้เป็นลูกค้า ดังนั้น นักการตลาดและเจ้าของธุรกิจไม่ควรมอง UX เป็นเพียงเรื่องเทคนิค แต่ควรให้ความสำคัญกับการออกแบบเว็บไซต์ที่สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยให้ SEO ประสบความสำเร็จในระยะยาว

5. เทรนด์การทำ SEO กับ Zero-Click Search & การตอบสนองโดยตรง

ปัจจุบัน ผู้ใช้ค้นหาข้อมูลบน Google แล้วได้รับคำตอบทันทีโดยไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าเว็บไซต์อีกต่อไป นี่คือแนวโน้มที่เรียกว่า Zero-Click Search ซึ่งกำลังเปลี่ยนแปลงวิธีที่ผู้คนโต้ตอบกับผลการค้นหาอย่างสิ้นเชิง

Zero-Click Search กับ เทรนด์การทำ SEO

Zero-Click Search หมายถึงการค้นหาที่ให้คำตอบแก่ผู้ใช้โดยตรงจากหน้า SERP (Search Engine Results Page) โดยที่พวกเขาไม่ต้องคลิกเข้าเว็บไซต์ใดเลย

ตัวอย่างที่พบได้บ่อย ได้แก่:

  • Featured Snippets: กล่องสรุปข้อมูลที่ Google แสดงไว้เหนือผลการค้นหา
  • People Also Ask (PAA): คำถามที่เกี่ยวข้องพร้อมคำตอบในตัว
  • Knowledge Graphs & Google AI Overviews: ข้อมูลสังเคราะห์จากแหล่งต่าง ๆ ที่ Google นำมาแสดงเป็นสรุป

ผลกระทบสำคัญคือ CTR (Click-Through Rate) ลดลง เพราะข้อมูลที่ผู้ใช้ต้องการมักปรากฏอยู่ในหน้าแรกของ Google แล้ว ทำให้พวกเขาไม่จำเป็นต้องกดเข้าไปอ่านเนื้อหาจากเว็บไซต์

จะรับมือกับ Zero-Click Search ได้อย่างไร?

แม้ว่า Zero-Click Search อาจทำให้จำนวนคลิกเข้าสู่เว็บไซต์ลดลง แต่นักการตลาดยังสามารถใช้แนวทางที่เหมาะสมเพื่อ เพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ได้รับการแสดงผลในจุดที่ผู้ใช้มองเห็น

1. ปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะกับ Featured Snippets

  • ใช้การตอบคำถามโดยตรง ในย่อหน้าแรก เช่น “Zero-Click Search คืออะไร?”
  • เขียนเนื้อหาให้ กระชับ ตรงประเด็น และอยู่ในรูปแบบที่ Google ชอบ เช่น รายการลำดับ (Bullet Points) หรือ ตาราง
  • ใช้ Structured Data Markup เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจข้อมูลบนเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น

2. เพิ่มโอกาสแสดงใน People Also Ask (PAA)

  • วิเคราะห์คำถามที่เกี่ยวข้องในหน้า SERP และสร้างเนื้อหาที่ตอบคำถามเหล่านั้น
  • ใช้หัวข้อที่เป็นคำถาม (H2, H3) เพื่อช่วยให้ Google ดึงเนื้อหาไปแสดงในกล่อง PAA ได้ง่ายขึ้น

3. สร้างคอนเทนต์ที่ให้คุณค่ามากกว่าคำตอบสั้น ๆ

  • แม้ว่า Google จะแสดงคำตอบสั้น ๆ ในหน้าแรก แต่ผู้ใช้ที่ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมยังคงต้องการข้อมูลจากเว็บไซต์
  • เนื้อหาที่มีคุณภาพ เช่น บทวิเคราะห์เชิงลึก, กรณีศึกษา และ How-to Guides จะช่วยให้เว็บไซต์ดึงดูดการคลิกได้มากขึ้น

4. ปรับแต่ง Meta Description ให้น่าสนใจ

  • แม้ว่าผู้ใช้จะเห็นคำตอบในหน้าแรกแล้ว แต่ Meta Description ที่ดึงดูดสามารถกระตุ้นให้พวกเขาคลิกเข้าไปอ่านต่อได้
  • ใช้ภาษาที่เน้นประโยชน์หรือจุดเด่นของบทความ เพื่อเพิ่มอัตราการคลิก

แม้ว่าการค้นหาแบบ Zero-Click อาจทำให้ปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ลดลง แต่หากสามารถทำให้แบรนด์ปรากฏใน Featured Snippets หรือ PAA ได้บ่อยขึ้น ก็ยังช่วยให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือ และทำให้เว็บไซต์เป็นที่จดจำในสายตาผู้ใช้ ดังนั้น SEO ในปี 2025 จึงไม่ใช่แค่การแย่งอันดับที่ 1 ในผลการค้นหา แต่เป็นการเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้ และสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ในทุกจุดสัมผัสของการค้นหา

6. เทรนด์การทำ SEO สำหรับการค้นหาด้วยเสียง (Voice Search Optimization)

Voice Search เทรนด์ SEO 2025

การค้นหาด้วยเสียงกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์ม Google Assistant, Siri และ Alexa การสร้างเนื้อหาที่เหมาะกับ Voice Search Optimization และใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสแสดงในผลการค้นหามากขึ้น

พฤติกรรมการค้นหาด้วยเสียงเปลี่ยนเทรนด์การทำ SEO อย่างไร?

1. ผู้ใช้พูดเป็นประโยคที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น:

  • แตกต่างจากการค้นหาด้วยการพิมพ์ที่มักใช้คำสั้น ๆ เช่น “ร้านกาแฟใกล้ฉัน”
  • การค้นหาด้วยเสียงมักเป็นประโยคเต็ม เช่น “ร้านกาแฟที่มีที่จอดรถใกล้ฉันเปิดถึงกี่โมง?”

2. เน้นการค้นหาแบบคำถาม:

  • คำถามที่พบบ่อย เช่น “ที่ไหน”, “เมื่อไหร่”, “อย่างไร” และ “ทำไม”
  • ส่งผลให้ Google ดึงคำตอบจากเว็บไซต์ที่มีโครงสร้างข้อมูลชัดเจน

3. ให้ความสำคัญการทำ Local SEO:

  • การค้นหาด้วยเสียงมักเกี่ยวข้องกับสถานที่ เช่น “ร้านอาหารไทยที่ดีที่สุดในกรุงเทพฯ”
  • เว็บไซต์ที่มี Google Business Profile และข้อมูลที่อัปเดตอยู่เสมอ จะมีโอกาสติดอันดับสูงขึ้น

1. ใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติและตรงไปตรงมา

  • เขียนเนื้อหาให้คล้ายกับภาษาพูด เช่น “ถ้าคุณกำลังมองหาร้านกาแฟที่มี Wi-Fi และที่จอดรถใกล้คุณ…”
  • หลีกเลี่ยงการใช้ภาษาทางการหรือคำที่ซับซ้อนเกินไป

2. ปรับแต่งเนื้อหาสำหรับคำถาม (FAQ Optimization)

  • ใช้ FAQ Section เพื่อรองรับการค้นหาที่เป็นประโยคคำถาม
  • ใช้ หัวข้อที่เป็นคำถาม (H2, H3) เช่น “วิธีเลือกซื้อครีมกันแดดที่เหมาะกับผิว?”

3. เสริม Local SEO ให้แข็งแกร่งขึ้น

  • อัปเดตข้อมูล Google Business Profile ให้ครบถ้วนและมีรีวิวจากลูกค้า
  • ใช้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่ตั้ง เช่น “คลินิกทันตกรรมใกล้ BTS สยาม”

4. ใช้ Structured Data Markup

  • เพิ่ม Schema Markup สำหรับธุรกิจ เช่น Local Business Schema, FAQ Schema, และ How-to Schema
  • ช่วยให้ Google เข้าใจบริบทของเนื้อหา และมีโอกาสนำไปแสดงเป็นคำตอบในการค้นหาด้วยเสียง

5. เพิ่มความเร็วของเว็บไซต์

  • ผู้ใช้ Voice Search คาดหวังคำตอบที่รวดเร็ว หากเว็บไซต์โหลดช้า อาจถูกข้ามไป
  • ปรับปรุง Core Web Vitals โดยลดขนาดภาพและใช้เทคนิค Lazy Loading

การค้นหาด้วยเสียงอาจยังไม่ได้มาแทนที่การค้นหาด้วยข้อความทั้งหมด แต่ธุรกิจที่สามารถเตรียมตัวให้พร้อมก่อนจะมีโอกาสได้เปรียบเหนือคู่แข่ง SEO ไม่ใช่แค่การทำให้ติดอันดับบน Google เท่านั้น แต่ต้องครอบคลุมทุกช่องทางที่ผู้ใช้ค้นหาข้อมูล

7. เทรนด์การทำ SEO กับ Data-Driven SEO: การใช้ข้อมูลวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้

เมื่อการทำ SEO ไม่ใช่แค่เรื่องของคีย์เวิร์ดและ Backlink อีกต่อไป Data-Driven SEO หรือ การใช้ข้อมูลวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้ กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักการตลาดสามารถตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้แม่นยำขึ้น

ทำไม Data-Driven SEO จึงมีความสำคัญ?

  • Google ให้ความสำคัญกับพฤติกรรมของผู้ใช้มากขึ้น ไม่ใช่แค่การใช้คีย์เวิร์ดเพียงอย่างเดียว
  • ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจกลุ่มเป้าหมายได้ลึกขึ้น สามารถวิเคราะห์ว่าผู้ใช้ต้องการอะไร และปรับปรุงเนื้อหาให้ตรงกับความต้องการ
  • เพิ่มโอกาสในการปรับปรุงอัตราการคลิก (CTR) และ Conversion Rate โดยใช้ข้อมูลที่แม่นยำ

เครื่องมือสำคัญสำหรับ Data-Driven SEO

  1. Google Search Console – วิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับ และตรวจสอบอัตราการคลิก (CTR)
  2. Google Analytics 4 (GA4) – ตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ใช้ เช่น Bounce Rate และ Conversion Tracking
  3. Heatmaps & Session Recordings – ใช้ Hotjar หรือ Microsoft Clarity เพื่อวิเคราะห์จุดที่ผู้ใช้ให้ความสนใจมากที่สุด
  4. Keyword & Competitor Research Tools – ใช้ Ahrefs, SEMrush หรือ Google Trends เพื่อติดตามเทรนด์การทำ SEO 2025 และกลยุทธ์ของคู่แข่ง

กลยุทธ์ใช้ Data-Driven SEO ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

  • วิเคราะห์คีย์เวิร์ดตาม Intent ของผู้ใช้: เลือกคีย์เวิร์ดที่สะท้อนความต้องการของผู้ใช้จริง เช่น คีย์เวิร์ดที่มี Commercial Intent หรือ Transactional Intent
  • ปรับปรุง CTR ด้วยการวิเคราะห์ Title และ Meta Description: ทดสอบ A/B Testing เพื่อดูว่า Title และ Meta Description แบบไหนช่วยเพิ่มอัตราการคลิกได้มากขึ้น
  • ใช้ AI และ Automation ในการวิเคราะห์ข้อมูล: ใช้ Google Gemini, ChatGPT หรือ Looker Studio เพื่อช่วยดึง Insight จากข้อมูล SEO
  • ปรับปรุง UX ตามพฤติกรรมของผู้ใช้: ใช้ Heatmaps และ Session Recordings เพื่อตรวจสอบว่าผู้ใช้สนใจเนื้อหาส่วนไหนมากที่สุด และปรับแต่งให้เหมาะสม

8. เทรนด์การทำ SEO สำหรับ Google E-E-A-T: ปัจจัยความน่าเชื่อถือที่สำคัญต่อ SEO

เกณฑ์ EEAT เทรนด์ SEO ล่าสุด

Google ไม่ได้ให้ความสำคัญแค่การใช้คีย์เวิร์ด แต่ยังเน้นเรื่องคุณภาพและความน่าเชื่อถือของเนื้อหา โดยใช้หลัก E-E-A-T (Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness) เป็นแนวทางประเมินเว็บไซต์

หลักเกณฑ์ E-E-A-T คืออะไร?

  1. Experience (ประสบการณ์จริง) – เนื้อหาที่มาจากผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีประสบการณ์ตรงจะได้รับการจัดอันดับที่ดีกว่า
  2. Expertise (ความเชี่ยวชาญ) – เว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกและได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรมจะได้รับความไว้วางใจมากขึ้น
  3. Authoritativeness (ความเป็นแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ) – เว็บไซต์ที่มี Backlink จากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือจะมีอันดับที่ดีขึ้น
  4. Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ) – Google ให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่มีความปลอดภัย (HTTPS) และมีข้อมูลติดต่อที่ชัดเจน

ทำไม E-E-A-T ถึงมีผลต่อ SEO?

  • Google ใช้ E-E-A-T ในการคัดกรองเนื้อหาคุณภาพ โดยเฉพาะในหมวด Your Money, Your Life (YMYL) เช่น สุขภาพ การเงิน และกฎหมาย
  • เว็บไซต์ที่มี E-E-A-T ที่ดีมักติดอันดับสูงกว่า และมีโอกาสถูกนำไปแสดงใน Featured Snippets
  • ช่วยลดความเสี่ยงจากการอัปเดตอัลกอริทึมของ Google

แนวทางปรับเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับ E-E-A-T

  • สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและให้ข้อมูลจากประสบการณ์จริง: หากเป็นเนื้อหาสุขภาพหรือการเงิน ควรให้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเป็นผู้เขียน
  • เพิ่มข้อมูลเกี่ยวกับผู้เขียนและองค์กร: ใส่หน้า About Us และ Author Bio เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
  • ปรับปรุงความปลอดภัยของเว็บไซต์: ใช้ HTTPS และ Trust Signals เช่น นโยบายความเป็นส่วนตัว
  • สร้าง Backlink จากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ: พยายามให้เว็บไซต์ที่มีคุณภาพลิงก์กลับมายังเนื้อหาของคุณ

อ่านบทความ อัปเดต 9 ปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับ Google ล่าสุด

9. การค้นหาผ่านภาพ (Visual Search Optimization)

ผู้ใช้เริ่มหันมาใช้ Google Lens, Pinterest Lens และ Bing Visual Search มากขึ้น ทำให้การค้นหาผ่านภาพ (Visual Search) กลายเป็นปัจจัยที่ธุรกิจต้องให้ความสำคัญ

Visual Search คืออะไร และทำไมจึงสำคัญ?

  • ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลจากรูปภาพโดยไม่ต้องพิมพ์ข้อความ
  • Google Lens และ Pinterest Lens ถูกใช้งานมากขึ้นในอุตสาหกรรมแฟชั่น อาหาร และอีคอมเมิร์ซ
  • แบรนด์ที่ปรับตัวให้รองรับ Visual Search จะได้เปรียบคู่แข่ง
  • เพิ่มข้อมูล Metadata ของรูปภาพให้ครบถ้วน: ใส่ Alt Text, ชื่อไฟล์ และคำอธิบาย (Image Caption) อย่างละเอียด
  • ใช้ Structured Data Markup สำหรับรูปภาพ: ใส่ ImageObject Schema เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจภาพ
  • ปรับแต่งรูปภาพให้โหลดเร็วและมีคุณภาพสูง: ใช้ไฟล์ WebP หรือ JPEG 2000 เพื่อลดขนาดไฟล์โดยไม่ลดคุณภาพ
  • เพิ่มรูปภาพที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดหลัก: ใช้รูปภาพที่สื่อถึงเนื้อหาเพื่อเพิ่มโอกาสในการปรากฏบน Google Images
  • เพิ่มรูปภาพสินค้าสำหรับอีคอมเมิร์ซและ Local SEO: ใช้ Product Schema Markup เพื่อให้รูปสินค้าแสดงผลใน Google Shopping

เว็บไซต์ที่สามารถปรับตัวให้รองรับ Visual Search Optimization จะสามารถเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าและขยายช่องทางการค้นหาให้กว้างขึ้น

10. เทรนด์การทำ SEO สำหรับวิดีโอและแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย

พฤติกรรมของผู้ใช้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ผู้ค้นหาไม่ได้ค้นหาข้อมูลผ่าน Google เพียงอย่างเดียว แต่ยังหันไปใช้ YouTube, TikTok, Instagram Reels และ Facebook Video มากขึ้น การค้นหาผ่านวิดีโอและโซเชียลมีเดียกำลังกลายเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญที่ธุรกิจต้องให้ความสำคัญ

ทำไม Video SEO และ Social Media SEO จึงมีความสำคัญ?

  • Google ให้ความสำคัญกับวิดีโอมากขึ้น โดยมักแสดงวิดีโอจาก YouTube ในหน้าแรกของผลการค้นหา
  • YouTube กลายเป็นเครื่องมือค้นหาที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจาก Google
  • TikTok และ Instagram กำลังเป็นแพลตฟอร์มที่ผู้ใช้ใช้ค้นหาข้อมูลมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z
  • การทำ SEO ให้ครอบคลุมแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ช่วยให้ธุรกิจสามารถเพิ่มการเข้าถึงและสร้างแบรนด์ได้กว้างขึ้น

กลยุทธ์ Video SEO: ทำให้วิดีโอติดอันดับบน Google และ YouTube

1. ใช้คีย์เวิร์ดในชื่อและคำอธิบายวิดีโอ

2. เพิ่มคำบรรยายและ Transcript ของวิดีโอ

  • ใช้ Closed Captions (CC) และอัปโหลด Transcript เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาของวิดีโอ
  • คำบรรยายช่วยให้ผู้ใช้สามารถดูวิดีโอได้แม้ปิดเสียง และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึง

3. ออกแบบ Thumbnail ให้น่าสนใจ

  • ใช้ภาพที่มีตัวหนังสือชัดเจนและดึงดูดสายตา
  • ทำให้ Thumbnail สื่อถึงเนื้อหาของวิดีโอ

4. ใส่ Timestamps หรือ Chapters ในวิดีโอ

  • แบ่งช่วงเวลาเป็น Sections หรือหัวข้อย่อย เช่น 0:00 – บทนำ, 1:30 – เทรนด์การทำ SEO 2025
  • Google และ YouTube ชอบวิดีโอที่มีโครงสร้างชัดเจน และมักดึง Timestamps ไปแสดงบน SERP

5. แชร์วิดีโอบนแพลตฟอร์มอื่นเพื่อเพิ่ม Engagement

  • แชร์วิดีโอบน TikTok, Facebook, LinkedIn, และ Twitter (X) เพื่อเพิ่มการมองเห็น
  • ฝังวิดีโอลงในเว็บไซต์หรือบทความที่เกี่ยวข้อง

Social Media SEO: ปรับแต่งคอนเทนต์ให้เหมาะกับการค้นหาในโซเชียลมีเดีย

1. TikTok และ Instagram Reels กำลังกลายเป็นเครื่องมือค้นหา

  • ผู้ใช้ Gen Z นิยมค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า รีวิว และ How-to ผ่าน TikTok และ Instagram มากกว่าผ่าน Google
  • แบรนด์ที่สามารถทำให้วิดีโอติดอันดับบน For You Page (FYP) จะได้รับ Engagement และการเข้าถึงสูงขึ้น

2. ใช้ Hashtags และคำอธิบายให้เหมาะกับอัลกอริทึมของแพลตฟอร์ม

  • ใช้แฮชแท็กที่ตรงกับคีย์เวิร์ด เช่น #SEO2025 #DigitalMarketing
  • เขียนคำอธิบายที่มี Call-to-Action (CTA) เช่น “ดูวิดีโอฉบับเต็มได้ที่ลิงก์นี้”

3. ทำคอนเทนต์ให้เหมาะกับพฤติกรรมของผู้ใช้บนแต่ละแพลตฟอร์ม

  • TikTok & Instagram Reels – ควรเป็นวิดีโอสั้น กระชับ และตรงประเด็น
  • YouTube – เหมาะกับวิดีโอที่มีเนื้อหาเชิงลึก และสามารถอธิบายรายละเอียดได้
  • LinkedIn – ควรเป็นวิดีโอที่เกี่ยวกับธุรกิจและแนวคิดการตลาด

Google ยังคงเป็นเครื่องมือค้นหาหลัก แต่วิดีโอและแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียกำลังกลายเป็นช่องทางสำคัญที่แบรนด์ต้องให้ความสำคัญ ดังนั้น ธุรกิจที่สามารถปรับแต่ง Video SEO และ Social Media SEO ได้ดี จะสามารถเพิ่มการเข้าถึงและสร้างการเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

11. การเปลี่ยนแปลงของอัลกอริทึม Google: MUM และ RankBrain

Google พัฒนาอัลกอริทึมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผลการค้นหามีความแม่นยำและสอดคล้องกับเจตนาของผู้ใช้มากขึ้น หนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญที่เข้ามามีบทบาทคือ MUM (Multitask Unified Model) และ RankBrain ซึ่งเป็นระบบ AI อัจฉริยะที่ช่วยให้ Google เข้าใจบริบทของการค้นหาได้ดียิ่งขึ้น

Google MUM (Multitask Unified Model) คืออะไร?

MUM เป็นอัลกอริทึม AI ที่ได้รับการออกแบบให้สามารถวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลได้หลายรูปแบบพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็น ข้อความ รูปภาพ วิดีโอ หรือแม้แต่เสียง ทำให้สามารถตอบคำถามที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ต่างจากอัลกอริทึมก่อนหน้า MUM ไม่เพียงแต่เข้าใจเนื้อหาเชิงข้อความ แต่ยังสามารถดึงข้อมูลจากหลายภาษา และเชื่อมโยงข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้อย่างลึกซึ้ง

ความแตกต่างจากอัลกอริทึมก่อนหน้า

  • MUM สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้จากหลายภาษา และนำมาประมวลผลในผลการค้นหาเดียวกัน
  • MUM เข้าใจความหมายในระดับบริบทที่ลึกขึ้น ไม่ใช่แค่การจับคู่คีย์เวิร์ด แต่สามารถวิเคราะห์เนื้อหาที่ซับซ้อนได้
  • MUM รองรับการค้นหาแบบ Multimodal Search ซึ่งหมายถึงการใช้ ภาพ + ข้อความ หรือแม้แต่เสียง + วิดีโอ ในการค้นหาข้อมูล

ตัวอย่างของ MUM ในการค้นหา

  • หากผู้ใช้ค้นหา “รองเท้าปีนเขาที่เหมาะกับฤดูหนาว” Google MUM สามารถวิเคราะห์บทความ รีวิว รูปภาพ และวิดีโอที่เกี่ยวข้องจากหลายภาษา เพื่อให้คำตอบที่แม่นยำ
  • หากใช้ Google Lens ถ่ายภาพรองเท้า และถามว่า “รองเท้านี้เหมาะกับการปีนเขาหรือไม่?” MUM จะสามารถให้คำตอบได้โดยอ้างอิงจากรีวิวหรือข้อมูลผลิตภัณฑ์

RankBrain เป็น AI ตัวแรกของ Google ที่ใช้ Machine Learning เพื่อช่วยวิเคราะห์และทำความเข้าใจคำค้นหาที่ซับซ้อน โดยไม่ได้พึ่งพาคีย์เวิร์ดเพียงอย่างเดียว

ความสามารถหลักของ RankBrain

  • เข้าใจความหมายของคำที่คล้ายกัน และสามารถจัดกลุ่มคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกัน
  • เรียนรู้จากพฤติกรรมของผู้ใช้ หากพบว่าผู้ใช้คลิกผลลัพธ์หนึ่งมากกว่าผลลัพธ์อื่น RankBrain จะนำข้อมูลนั้นไปปรับปรุงการแสดงผลในอนาคต
  • ให้ความสำคัญกับ User Engagement (การมีส่วนร่วมของผู้ใช้) เช่น Bounce Rate, Time on Page และ Dwell Time

ตัวอย่างของ RankBrain ในการค้นหา

  • หากผู้ใช้พิมพ์ว่า “ที่ท่องเที่ยวธรรมชาติใกล้กรุงเทพฯ” RankBrain จะสามารถจับความหมายและแนะนำสถานที่จริงแม้ว่าคำค้นหาจะไม่ตรงเป๊ะกับข้อมูลในเว็บไซต์
  • หากเว็บไซต์ A มีคีย์เวิร์ดดี แต่เว็บไซต์ B มีเนื้อหาที่ผู้ใช้ใช้เวลาอ่านนานกว่า และได้รับการคลิกมากกว่า RankBrain อาจให้เว็บไซต์ B มีอันดับสูงกว่า

ธุรกิจควรปรับตัวอย่างไรให้เหมาะกับ MUM และ RankBrain?

1. สร้างเนื้อหาที่ครอบคลุมและเจาะลึก

  • Google MUM ชอบเนื้อหาที่ให้ข้อมูลรอบด้าน ดังนั้น เว็บไซต์ที่สามารถให้บริบทที่ครอบคลุมในเชิงลึก จะมีโอกาสติดอันดับสูงกว่า
  • ควรใช้เนื้อหาที่ให้คำตอบที่ชัดเจน เช่น “ทุกอย่างที่ต้องรู้เกี่ยวกับ…” หรือ “คำแนะนำที่ครบถ้วนเกี่ยวกับ…”

2. ใช้ Multimodal Content (ข้อความ + ภาพ + วิดีโอ)

  • เพราะ Google MUM สามารถอ่านข้อมูลจากทั้งข้อความและภาพ การใส่ Infographic, Video หรือ How-to Images ในบทความ จะช่วยให้มีโอกาสติดอันดับสูงขึ้น
  • ใช้ Alt Text และ Metadata กับรูปภาพและวิดีโอให้ครบถ้วน เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหา

3. สร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ Intent ของผู้ใช้มากกว่าการเน้นแค่คีย์เวิร์ด

  • RankBrain ให้ความสำคัญกับ User Engagement ดังนั้น ควรเขียนเนื้อหาให้น่าสนใจ ดึงดูดให้ผู้ใช้ใช้เวลาบนหน้าเว็บนานขึ้น
  • ใช้ Bullet Points และหัวข้อย่อย (H2, H3) เพื่อให้ผู้ใช้สามารถอ่านและสแกนเนื้อหาได้ง่าย

4. ใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติและเข้าใจง่าย

  • เพราะ MUM และ RankBrain ให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่อ่านง่าย เว็บไซต์ที่ใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติและเหมาะกับกลุ่มเป้าหมายจะได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้น

5. เพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ (User Engagement Signals)

  • ควรใช้ Call-to-Action (CTA) เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้โต้ตอบ เช่น ให้พวกเขาแสดงความคิดเห็น แชร์ หรือกดติดตาม
  • เพิ่ม Interactive Elements เช่น Quiz หรือ Polls เพื่อเพิ่มเวลาที่ผู้ใช้ใช้บนเว็บไซต์

เนื่องจาก Google ไม่ได้มองแค่คีย์เวิร์ดอีกต่อไป แต่ใช้ AI ในการเข้าใจบริบทของการค้นหา ธุรกิจที่ต้องการให้เว็บไซต์ติดอันดับสูง ต้องปรับตัวให้เหมาะกับ MUM และ RankBrain โดยสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ เจาะลึก และใช้สื่อหลากหลาย

บทสรุป: เทรนด์การทำ SEO 2025 กับการปรับตัวของธุรกิจ

โดยสรุป เทรนด์การทำ SEO 2025 กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจากการพัฒนาเทคโนโลยี AI และพฤติกรรมของผู้ใช้ที่เปลี่ยนไป Google ให้ความสำคัญกับการสังเคราะห์ข้อมูลผ่าน AI Search Generative Experience (SGE) ทำให้เว็บไซต์ที่เคยพึ่งพาการเข้าชมจาก Organic Search อาจได้รับผลกระทบจาก Zero-Click Search อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ธุรกิจที่ต้องการรักษาความสามารถในการแข่งขันต้องปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับ AI Overviews, Featured Snippets และการแสดงผลแบบ People Also Ask (PAA) เพื่อให้ยังคงได้รับการมองเห็นในผลการค้นหา นอกจากนี้ การปรับแต่งเว็บไซต์ให้รองรับ Core Web Vitals, Social SEO และการค้นหาผ่านภาพ (Visual Search) จะช่วยให้เว็บไซต์สามารถดึงดูดปริมาณการเข้าชมจากแหล่งข้อมูลที่หลากหลายยิ่งขึ้น

เทรนด์การทำ SEO ไม่ได้เป็นเพียงการอัปเดตอัลกอริทึม แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ที่ธุรกิจต้องให้ความสำคัญ การพัฒนาเนื้อหาให้เหมาะกับ AI, การปรับปรุง UX และการขยายกลยุทธ์ SEO ไปยังแพลตฟอร์มใหม่ๆ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล

เรียนรู้เพิ่มเติม SEO Checklist ล่าสุด: คู่มือติดอันดับ Google ด้วยเทคนิคที่ดีที่สุด

เทรนด์การทำ SEO กับคำถามที่พบบ่อย

AI และ Google SGE มีผลต่อ SEO อย่างไร?

Google SGE และ AI Overviews ทำให้ผู้ใช้ได้รับคำตอบทันทีจากหน้า SERP ส่งผลให้ CTR ลดลง เว็บไซต์ที่ต้องการรักษาการมองเห็นต้องสร้างเนื้อหาที่กระชับ ตอบคำถามได้ตรงจุด และใช้ FAQ Schema หรือ How-to Schema เพื่อให้ AI เข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น การเพิ่ม E-E-A-T ยังช่วยให้เว็บไซต์ได้รับความน่าเชื่อถือมากขึ้น

Zero-Click Search ส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์หรือไม่?

Zero-Click Search ทำให้ข้อมูลถูกแสดงบน SERP โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องคลิกเข้าเว็บไซต์ ธุรกิจควรปรับเนื้อหาให้เหมาะกับ Featured Snippets และ People Also Ask (PAA) พร้อมใช้ Meta Description ที่กระตุ้นให้ผู้ใช้สนใจและคลิกอ่านต่อ

Google MUM และ RankBrain มีผลต่อการจัดอันดับอย่างไร?

Google MUM เข้าใจเนื้อหาหลายรูปแบบ เช่น ข้อความ รูปภาพ และวิดีโอ ขณะที่ RankBrain วิเคราะห์ความหมายของคำค้นหาและพฤติกรรมผู้ใช้ เว็บไซต์ที่ต้องการติดอันดับควรใช้ Multimodal Content เช่น รูปภาพและวิดีโอประกอบเนื้อหา และสร้างเนื้อหาที่ตรงกับ Search Intent

Core Web Vitals ยังสำคัญต่อ SEO หรือไม่?

Google ยังคงใช้ Core Web Vitals เป็นปัจจัยจัดอันดับ โดยให้ความสำคัญกับความเร็วเว็บไซต์ และ UX ธุรกิจควรปรับปรุง LCP, INP และ CLS ให้เหมาะสม รวมถึงใช้ Responsive Design เพื่อให้เว็บไซต์โหลดเร็วและใช้งานง่าย

SEO สำหรับ TikTok และโซเชียลมีเดียมีความสำคัญหรือไม่?

TikTok และ YouTube กลายเป็นแพลตฟอร์มค้นหาทางเลือก โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z เว็บไซต์ควรใช้ Hashtags และคำอธิบายวิดีโอที่มีคีย์เวิร์ด และเพิ่มลิงก์เว็บไซต์ใน Bio และ Description เพื่อเพิ่มการเข้าถึงจากโซเชียลมีเดีย

AI และ Automation ช่วย SEO ได้อย่างไร?

AI ช่วยให้การวิเคราะห์ข้อมูลและการสร้างคอนเทนต์มีประสิทธิภาพมากขึ้น การใช้ AI วิเคราะห์คีย์เวิร์ด และพฤติกรรมผู้ใช้ รวมถึงเครื่องมือเช่น SurferSEO หรือ Clearscope จะช่วยให้เนื้อหาตรงกับความต้องการของตลาดมากขึ้น

การค้นหาผ่านภาพ (Visual Search) มีผลต่อ SEO หรือไม่?

Visual Search กำลังได้รับความนิยม Google Lens และ Pinterest Lens ทำให้การค้นหาสะดวกขึ้น ธุรกิจควรเพิ่ม Alt Text และ Image Schema ให้ครบถ้วน และใช้รูปภาพที่เหมาะกับการค้นหาด้วยภาพ

การค้นหาด้วยเสียง (Voice Search) มีผลต่อ SEO อย่างไร?

Voice Search ใช้ภาษาพูดและคำถามแบบเต็มประโยค เว็บไซต์ควรสร้าง FAQ Content ที่ตอบคำถามได้โดยตรง และใช้ Long-Tail Keywords ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ใช้

ปรึกษาทำ SEO กับทีมงานอินสไปรา เพื่อปรับกลยุทธ์ให้รองรับ AI Search, Zero-Click Search และ Featured Snippets พร้อมปรับแต่ง Core Web Vitals และ SEO สำหรับ TikTok & YouTube ตอนนี้