การปรับปรุง Page Speed มีความสำคัญทั้งในด้าน SEO และประสบการณ์ของผู้ใช้ เว็บไซต์ที่โหลดเร็วไม่เพียงแค่สร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับผู้ใช้เท่านั้น แต่ยังส่งสัญญาณถึงเครื่องมือค้นหาอย่าง Google ว่าเว็บไซต์ของคุณได้รับการปรับปรุงอย่างดี
เว็บไซต์ที่โหลดช้าอาจทำให้ผู้ใช้งานไม่พอใจ ส่งผลให้มีอัตราการตีกลับที่สูงขึ้นและการแปลงที่น้อยลง ผลกระทบนี้ยังไปถึงการจัดอันดับของ Google ซึ่งให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่โหลดเร็ว ทำให้การเพิ่มประสิทธิภาพความเร็วหน้าเว็บกลายเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในกลยุทธ์ SEO
เราจึงมีแนวทางปฏิบัติที่ช่วยเพิ่มความเร็วและประสิทธิภาพของเว็บไซต์ ตั้งแต่การตรวจสอบปัจจัยที่ทำให้เว็บไซต์ช้าไปจนถึงการใช้เทคนิคขั้นสูง เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ราบรื่นและเพิ่มทั้งอันดับและความพึงพอใจ
Page Speed มีความสำคัญต่อ SEO อย่างไร
เครื่องมือค้นหามุ่งเน้นการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้ผู้ใช้ และความเร็วของเว็บไซต์ก็เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างประสบการณ์ที่ดี เมื่อหน้าเว็บโหลดช้า ผู้ใช้มีแนวโน้มที่จะออกจากเว็บไซต์ ซึ่งส่งผลเสียต่ออันดับและการมองเห็นในเครื่องมือค้นหา
Core Web Vitals: มาตรฐานการวัดความเร็วของ Google
Google มีมาตรฐานที่เรียกว่า Core Web Vitals ซึ่งเป็นตัวชี้วัดหลักในการวัดความเร็วและประสบการณ์ของผู้ใช้:
- Largest Contentful Paint (LCP): จะวัดระยะเวลาที่เนื้อหาหลักของหน้าเว็บโหลดเสร็จ ค่า LCP ที่เร็วช่วยให้ผู้ใช้เห็นข้อมูลสำคัญได้ไวขึ้น
- First Input Delay (FID): วัดความเร็วในการตอบสนองของเว็บไซต์เมื่อผู้ใช้มีการโต้ตอบ เช่น คลิกที่ลิงก์หรือปุ่มต่างๆ
- Cumulative Layout Shift (CLS): วัดความเสถียรของ layout ขณะโหลดหน้าเว็บ ค่า CLS ที่ต่ำจะช่วยลดความไม่พึงพอใจจากการเลื่อนของหน้าจอ
เว็บไซต์ที่ทำคะแนนได้ดีบนตัวชี้วัดเหล่านี้จะช่วยสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้นและมีโอกาสได้รับอันดับที่สูงขึ้น
ผลกระทบ Page Speed ต่อพฤติกรรมผู้ใช้
หน้าเว็บที่โหลดช้าส่งผลให้ผู้ใช้งานลดการมีส่วนร่วม งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า:
- 53% ของผู้ใช้มือถือจะออกจากเว็บไซต์ที่ใช้เวลาโหลดเกิน 3 วินาที
- ความล่าช้าเพียง 1 วินาทีอาจลดอัตราการแปลงได้ถึง 7%
- เว็บไซต์ที่โหลดได้เร็วมีเวลาใช้งานและจำนวนหน้าเว็บที่เข้าชมต่อเซสชันสูงขึ้น ซึ่งช่วยส่งเสริม SEO ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการเพิ่มความเร็วของหน้าเว็บเป็นเรื่องสำคัญสำหรับธุรกิจที่ต้องการเพิ่มการมองเห็นออนไลน์และอัตราการแปลง
Mobile-First Indexing ทำให้ความเร็วของเว็บไซต์ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น
เมื่อ Google ใช้การจัดทำดัชนีแบบมือถือเป็นอันดับแรก ความเร็วของเว็บไซต์บนมือถือจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับ ผู้ใช้มือถือมักมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่ช้ากว่า เว็บไซต์ที่ไม่ได้ปรับให้เหมาะกับมือถืออาจเสียโอกาสจากการเข้าชมและการมองเห็นบนเครื่องมือค้นหา
การตรวจสอบ Page Speed: ขั้นตอนแรกในการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์
การตรวจสอบความเร็วจะช่วยระบุจุดบกพร่องและวางแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อให้เห็นจุดที่ทำได้ดีและจุดที่ควรปรับปรุง
เครื่องมือสำหรับวัด Page Speed
การใช้เครื่องมือที่ได้มาตรฐานช่วยให้คุณเห็นข้อมูลเชิงลึกในการปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์:
- Google PageSpeed Insights: เป็นเครื่องมือฟรีที่วัดประสิทธิภาพของเว็บไซต์ทั้งบนมือถือและเดสก์ท็อป โดยเน้นที่ Core Web Vitals เป็นพิเศษเพราะช่วยแนะนำการปรับปรุง เช่น การบีบอัดภาพหรือการดีเลย์ของสคริปต์
- GTmetrix: ให้การวิเคราะห์ความเร็วของเว็บไซต์ รวมถึงเวลาการโหลด ขนาดหน้าเว็บ และจำนวนคำขอ พร้อมรายแบบภาพเช่น Waterfall Chart เพื่อระบุจุดที่ทำให้เกิดความล่าช้า
- Lighthouse: หนึ่งใน DevTools ของ Chrome มีการตรวจสอบประสิทธิภาพเว็บไซต์อย่างครอบคลุมตัวชี้วัด เช่น Time to Interactive (TTI) และ First Contentful Paint (FCP)
- WebPageTest: อนุญาตให้ทดสอบความเร็วของเว็บไซต์จากตำแหน่งและอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ข้อมูลเชิงลึกว่าผู้ใช้มีประสบการณ์กับเว็บไซต์อย่างไร
ตัวชี้วัดหลักที่ควรให้ความสำคัญ
การทำความเข้าใจตัวชี้วัดเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถจัดลำดับความสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพ Page Speed ได้อย่างมีประสิทธิผล:
- Time to First Byte (TTFB): ใช้วัดระยะเวลาที่เซิร์ฟเวอร์ตอบสนองต่อการร้องขอครั้งแรก ถ้า TTFB ที่ช้ามักบ่งชี้ถึงปัญหาด้าน backend
- Fully Loaded Time: ระบุถึงเวลาที่ทรัพยากรทั้งหมดบนหน้าเว็บโหลดเสร็จสมบูรณ์ โดยตั้งเป้าให้เวลาโหลดไม่เกินสองวินาที จะช่วยเพิ่มความพึงพอใจของผู้ใช้ได้อย่างมาก
- Interactive Time: ระบุช่วงเวลาที่ผู้ใช้สามารถเริ่มโต้ตอบกับเว็บไซต์ได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการมีส่วนร่วมของผู้ใช้
การตรวจสอบและหาสาเหตุหลักที่ทำให้เว็บไซต์ทำงานช้าลง
การตรวจสอบความเร็วของเว็บช่วยให้คุณค้นหาสาเหตุหลักที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณโหลดช้าลงได้ เช่น:
- การตอบสนองของเซิร์ฟเวอร์ที่ช้า: การใช้ hosting ที่ไม่มีประสิทธิภาพหรือการตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์ที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้การโหลดล่าช้าได้
- ไฟล์ภาพหรือสื่อมีเดียขนาดใหญ่: ไฟล์ภาพและวิดีโอที่มีขนาดใหญ่ที่ไม่ได้ถูกบีบอัดหรือย่อขนาดลงมักเป็นสาเหตุที่ทำให้เว็บไซต์ช้า
- ทรัพยากรที่จำกัดการแสดงผล: สคริปต์และสไตล์ชีทที่ทำให้หน้าเว็บโหลดช้าลง
เคล็ดลับ: Google รายงานว่าการลดเวลาในการตอบสนองของเซิร์ฟเวอร์ลงเพียง 500 มิลลิวินาที สามารถลดอัตราตีกลับได้ถึง 25% การจัดการปัญหาเหล่านี้เป็นวิธีที่ง่ายและรวดเร็วในการเพิ่มความเร็วของเว็บไซต์
การเพิ่มประสิทธิภาพ Server และ Hosting
การปรับปรุงเซิร์ฟเวอร์และการเลือกใช้โฮสติ้งที่เหมาะสมเพื่อสนับสนุนการทำงานของเว็บไซต์ให้มีความเร็วและประสิทธิภาพสูงสุด การมีเซิร์ฟเวอร์และโฮสติ้งที่มีประสิทธิภาพช่วยให้เว็บไซต์โหลดได้เร็วขึ้น ตอบสนองต่อผู้ใช้ได้ดี และรองรับการเข้าชมจำนวนมากได้ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการทำให้เว็บไซต์ทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยเสริม Technical SEO และมอบประสบการณ์ที่ดีให้ผู้ใช้ได้ดี
การเลือกโซลูชัน hosting ที่เหมาะสม
การเลือกผู้ให้บริการโฮสต์ติ้งมีผลกระทบอย่างมากต่อเวลาโหลดเว็บไซต์:
- Shared Hosting: ประหยัดค่าใช้จ่ายแต่แบ่งทรัพยากรกับเว็บไซต์อื่น ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพลดลงในช่วงที่มีการใช้งานสูง
- Dedicated Hosting: ทรัพยากรที่เป็นของคุณเท่านั้น ทำให้การทำงานรวดเร็วและมีความเสถียรกว่า แต่มีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าด้วย
- Cloud Hosting: สามารถปรับทรัพยากรตามความต้องการแบบไดนามิก ผู้ให้บริการเช่น AWS, Google Cloud และ Azure ให้ประสิทธิภาพสูงและความน่าเชื่อถือในช่วงเวลาที่มีการใช้งานมาก
ข้อมูลเชิงลึก: งานวิจัยของ Kinsta พบว่าเว็บไซต์ที่ย้ายจาก Shared Hosting ซึ่งใช้โครงสร้างพื้นฐานของ Google Cloud Platform มีเวลาโหลดเร็วขึ้นเฉลี่ย 20%
การใช้งาน Content Delivery Network (CDN)
การใช้งาน Content Delivery Network (CDN) เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเว็บไซต์ที่มีผู้เข้าชมจากทั่วเนื่องจาก CDN จะเก็บสำเนาของข้อมูลสถิต เช่น รูปภาพ, CSS และ JavaScript ไว้บนเซิร์ฟเวอร์ที่กระจายทั่วโลก
เมื่อผู้ใช้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ CDN จะส่งข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้ที่สุด ลดระยะเวลาในการโหลด โดยผู้ให้บริการ CDN ยอดนิยมเช่น Cloudflare, Akamai และ Fastly
ประโยชน์เพิ่มเติม: นอกจาก Page Speed แล้ว CDN ยังให้การป้องกัน DDoS และความปลอดภัยของเว็บไซต์ที่ดีขึ้นด้วย
การบีบอัดไฟล์เพื่อการส่งข้อมูลที่รวดเร็วขึ้น
ไฟล์ขนาดใหญ่สามารถทำให้เว็บไซต์โหลดช้าได้ โดยเฉพาะในช่วงที่การเชื่อมต่อช้าลง เทคโนโลยีที่ช่วยการบีบอัดรูปภาพหรือสื่อมีเดียอย่าง Gzip และ Brotli จะช่วยลดขนาดของไฟล์ HTML, CSS และ JavaScript ลงได้อย่างมาก
- Gzip: รองรับกว้างขวางและติดตั้งง่าย ให้การลดขนาดไฟล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- Brotli: ให้การบีบอัดที่ดีกว่า และกำลังเป็นที่นิยมสำหรับเว็บไซต์สมัยใหม่
ข้อมูลเชิงลึก: จากข้อมูลของ HTTP Archive เว็บไซต์ที่ใช้รูปภาพที่มีการบีบอัดแล้วนั้นจะช่วยลดขนาดการถ่ายโอนข้อมูลลงถึง 70% ซึ่งส่งผลดีให้เว็บไซต์โหลดได้เร็วขึ้น
การแคชเซิร์ฟเวอร์สำหรับผู้เยี่ยมชมซ้ำ
Caching หรือ การแคช คือกระบวนการเก็บข้อมูลชั่วคราวไว้ในตำแหน่งที่เข้าถึงได้รวดเร็ว เช่น หน่วยความจำหรือดิสก์ เพื่อให้ข้อมูลนั้นพร้อมใช้งานทันทีโดยไม่ต้องประมวลผลหรือดึงข้อมูลซ้ำจากแหล่งที่มาเมื่อมีการเรียกใช้งานซ้ำในอนาคต
การแคชมักใช้ในหลายบริบท เช่น:
- Browser Caching: เบราว์เซอร์จะเก็บข้อมูลบางอย่างของเว็บไซต์ เช่น รูปภาพหรือไฟล์ CSS ไว้ในแคช ทำให้เมื่อผู้ใช้กลับมาเยี่ยมชมเว็บไซต์เดิม เบราว์เซอร์สามารถโหลดข้อมูลจากแคชได้ทันที โดยไม่ต้องดึงข้อมูลทั้งหมดจากเซิร์ฟเวอร์อีกครั้ง ช่วยเพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์
- Server Caching: เซิร์ฟเวอร์จะเก็บข้อมูลหรือหน้าที่สร้างแล้วในหน่วยความจำหรือพื้นที่เก็บข้อมูลอื่น เพื่อให้สามารถส่งข้อมูลนั้นไปยังผู้ใช้ได้เร็วขึ้น แทนที่จะประมวลผลซ้ำทุกครั้งที่มีการร้องขอ
ดังนั้น การแคชจะช่วยลดภาระของเซิร์ฟเวอร์ ลดเวลาการโหลด และเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมของเว็บไซต์
เครื่องมือเช่น Redis และ Varnish ช่วยในการตั้งค่าแคชฝั่งเซิร์ฟเวอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การโหลดหน้าเว็บของผู้ใช้ซ้ำลดลง และลดภาระการทำงานของเซิร์ฟเวอร์ได้มากขึ้น
การปรับแต่งหน้าของเว็บไซต์เพื่อ Page Speed
แม้ว่าการปรับแต่งแบ็กเอนด์จะสำคัญ การปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพในส่วนของหน้าเว็บไซต์ เช่น การปรับแต่โค้ดและองค์ประกอบภาพต่าง ๆ นั้นก็มีความสำคัญเช่นกัน เพื่อให้ผู้ใช้รู้สึกถึงความเร็วของเว็บไซต์ได้อย่างชัดเจนเมื่อมีการเข้าใช้งาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ใช้สัมผัสได้โดยตรงและช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้เว็บที่ดี
ลดจำนวน HTTP Requests เพื่อ Page Speed ที่เร็วขึ้น
ทุกองค์ประกอบบนเว็บไซต์ เช่น รูปภาพ, สคริปต์ และสไตล์ชีท จำเป็นต้องใช้ HTTP Request ยิ่งมีจำนวนมากเท่าไรการโหลดหน้าเว็บจะใช้เวลานานขึ้น การลดจำนวน Requests เป็นวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยเพิ่มความเร็วของเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็ว
เทคนิคหลัก:
- รวบรวมไฟล์ CSS และ JavaScript: รวมไฟล์หลาย ๆ ไฟล์เข้าด้วยกันเพื่อลดจำนวน Requests
- ใช้ CSS Sprites: รวมรูปภาพขนาดเล็กหลาย ๆ รูปเป็นไฟล์เดียวและใช้ CSS ในการแสดงส่วนที่ต้องการ
- ตรวจสอบและลบปลั๊กอินที่ไม่จำเป็น: การลบปลั๊กอินบางตัวที่ไม่ได้มีการใช้งานออกจะช่วยลดขนาดและเพิ่มความเร็วของเว็บไซต์ได้
เคล็ดลับ: รายงานปี 2023 จาก HubSpot พบว่าการลด HTTP Requests บนหน้าเว็บที่มีทรัพยากรมากช่วยให้เวลาโหลดหน้าเว็บเร็วขึ้นได้ถึง 35%
ให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่สำคัญโดยใช้ Critical CSS
CSS ที่จำเป็นสำหรับการแสดงผลเนื้อหาส่วนบนของหน้าเว็บโดยทันทีเมื่อผู้ใช้เปิดหน้าเว็บ การใช้ Critical CSS ช่วยให้เนื้อหาที่สำคัญทำการโหลดได้รวดเร็ว โดยแทรก CSS ที่จำเป็นเหล่านี้ลงใน HTML ของหน้าเว็บโดยตรง เพื่อให้ผู้ใช้เห็นเนื้อหาหลักได้ทันทีโดยไม่ต้องรอโหลด CSS ทั้งหมด ซึ่งช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้งานและลดเวลาในการโหลด
วิธีการใช้งาน:
- ใช้เครื่องมือเช่น Critical หรือ PurgeCSS เพื่อสร้างและแทรก Critical CSS
- เลื่อนการโหลดสไตล์ชีทที่ไม่สำคัญให้อยู่หลังการโหลดหน้าแรก เพื่อปรับปรุงตัวชี้วัด Largest Contentful Paint (LCP)
การโหลดแบบ Asynchronous ของ JavaScript และ CSS
การโหลดแบบ Asynchronous ของ JavaScript และ CSS คือการตั้งค่าให้สคริปต์ JavaScript และไฟล์ CSS โหลดแบบไม่ขัดขวางการแสดงผลของหน้าเว็บ ช่วยให้เนื้อหาหลักของเว็บไซต์สามารถแสดงผลได้ทันทีในขณะที่สคริปต์อื่น ๆ โหลดอยู่เบื้องหลัง
- JavaScript Deferral: ใช้แอตทริบิวต์ defer ในการเลื่อนการทำงานของ JavaScript จนกว่า HTML จะถูกประมวลผลเสร็จ
- Async Attribute: ใช้แอตทริบิวต์ Async สำหรับสคริปต์ที่ไม่จำเป็น เพื่อให้ทำการโหลดได้อย่างอิสระโดยไม่รบกวนการแสดงผลของหน้าเว็บ
เทคนิคเหล่านี้ช่วยปรับปรุง First Contentful Paint (FCP) และ Time to Interactive (TTI) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญของประสบการณ์ผู้ใช้
การปรับแต่งฟอนต์เพื่อประสิทธิภาพที่ดีขึ้น
ฟอนต์สวยๆ ที่เว็บไซต์สามารถกำหนดได้เองช่วยเพิ่มความสวยงามให้เว็บไซต์ แต่หากไม่ได้จัดการอย่างเหมาะสม อาจทำให้เว็บไซต์โหลดช้าลง การปรับการโหลดฟอนต์อย่างเหมาะสมช่วยเพิ่ม Page Speed โดยไม่ลดทอนคุณภาพการออกแบบ
กลยุทธ์สำคัญ:
- Preload ฟอนต์ที่สำคัญ: ใช้แอตทริบิวต์ preload เพื่อโหลดฟอนต์ที่สำคัญตั้งแต่เริ่มต้นใช้งาน
- ใช้ฟอร์แมตที่ทันสมัย: เช่น WOFF2 ให้การบีบอัดไฟล์ที่ดีขึ้นและโหลดหน้าเว็บได้เร็วกว่า
- ฟอนต์สำรอง: การตั้งค่าฟอนต์สำรองช่วยให้ข้อความแสดงผลได้ทันที ซึ่งช่วยลดความล่าช้าในการแสดงผลและปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้
ข้อมูลเชิงลึก: Google ระบุว่าการปรับปรุงการโหลดฟอนต์สามารถลดความล่าช้าที่เกี่ยวข้องกับฟอนต์ได้ถึง 50% ซึ่งช่วยเพิ่มความพึงพอใจของผู้ใช้ได้อย่างดี
การปรับแต่งภาพ: เพิ่ม Page Speed โดยไม่ลดคุณภาพของภาพ
ไฟล์ภาพของเว็บไซต์จะใช้เวลาในการโหลดมากที่สุด ดังนั้น เลือกฟอร์แมตที่เหมาะสม บีบอัดไฟล์ และใช้วิธีการโหลดที่มีประสิทธิภาพ คุณสามารถเพิ่มความเร็วในการโหลดโดยไม่ลดคุณภาพของภาพ
เลือก format ภาพที่เหมาะสม
Format ภาพมีความแตกต่างกัน การใช้ฟอร์แมตที่เหมาะสมช่วยลดขนาดไฟล์ได้มากในขณะที่ยังคงความคมชัดไว้ อย่างเช่น:
- WebP: ฟอร์แมตที่ทันสมัยนี้มีการบีบอัดที่ดีทั้งแบบ Lossy และ Lossless ช่วยลดขนาดไฟล์ได้ถึง 30% เมื่อเทียบกับ JPEG หรือ PNG
- JPEG: เหมาะสำหรับภาพที่ซับซ้อน เช่น ภาพถ่าย ไฟล์ที่มีคุณภาพดีและขนาดไฟล์เล็ก
- PNG: เหมาะสำหรับภาพพื้นหลังโปร่งใส แต่ขนาดไฟล์อาจใหญ่ ควรใช้เท่าที่จำเป็น
- SVG: เหมาะสำหรับกราฟิกแบบเวกเตอร์ เช่น โลโก้หรือไอคอน เนื่องจากสามารถปรับขนาดได้โดยไม่สูญเสียคุณภาพและไฟล์มีนาดเล็ก
ข้อมูลเชิงลึก: งานวิจัยของ Akamai พบว่าการเปลี่ยนไปใช้ WebP ช่วยลดน้ำหนักหน้าเว็บเฉลี่ยลง 25% และช่วยเพิ่มความเร็วในการโหลดได้อย่างมีนัยสำคัญ
การใช้ Lazy Loading เพื่อการโหลดหน้าเว็บที่เร็วขึ้น
Lazy Loading คือเทคนิคการเลื่อน-การโหลดภาพออกไปจนกว่าภาพนั้นจะปรากฏบนหน้าจอของผู้ใช้จริง ๆ วิธีนี้จะช่วยลดเวลาในการโหลดครั้งแรกของหน้าเว็บ เนื่องจากระบบจะโหลดเฉพาะภาพที่ผู้ใช้เห็นในขณะนั้นเท่านั้น ภาพอื่น ๆ ที่อยู่นอกมุมมองจะยังไม่ถูกโหลดจนกว่าจะถูกเลื่อนเข้ามาบนหน้าจอของผู้ใช้ ส่งผลให้หน้าเว็บโหลดได้เร็วขึ้นและใช้งานได้ราบรื่นมากขึ้น
การใช้งาน:
- การโหลดแบบ Lazy Loading แบบ Native สามารถเปิดใช้ได้โดยเพิ่มแอตทริบิวต์ loading=”lazy” ในแท็กของรูปภาพ
- สำหรับเบราว์เซอร์รุ่นเก่า สามารถใช้ JavaScript Libraries เช่น Lozad.js หรือ LazyLoad เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่คล้ายกัน
การโหลดแบบ Lazy Loading เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเยอะ เช่น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซหรือเว็บข่าว ที่มีการโหลดภาพจำนวนมากในหน้าเดียว
การปรับขนาดภาพให้เหมาะสมสำหรับอุปกรณ์มือถือและเดสก์ท็อป
การแสดงภาพที่มีขนาดเหมาะสมกับอุปกรณ์มือถือและเดสก์ท็อปของผู้ใช้ช่วยลดการส่งข้อมูลที่ไม่จำเป็น ทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นบนทุกอุปกรณ์เชื่อมต่อ
วิธีปฏิบัติที่ดีที่สุด:
- ใช้ <picture> เพื่อนำเสนอภาพหลากหลายขนาดตามขนาดหน้าจอของแต่ละอุปกรณ์
- เพิ่มแอตทริบิวต์ srcset ในแท็ก <img> เพื่อให้เบราว์เซอร์เลือกความละเอียดของภาพที่เหมาะสมที่สุดสำหรับอุปกรณ์ของผู้ใช้
ภาพแบบ Responsive ช่วยให้ผู้ใช้มือถือไม่ต้องดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่และไฟล์ที่มีความละเอียดสูงโดยไม่จำเป็น ซึ่งช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้งานและช่วยลดอัตราตีกลับได้
การบีบอัดภาพโดยไม่ลดทอนคุณภาพ
เครื่องมือบีบอัดภาพช่วยลดขนาดไฟล์ได้อย่างมากในขณะที่ยังคงคุณภาพของภาพให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้:
- Lossless Compression: เก็บข้อมูลภาพทั้งหมดไว้ ทำให้ไฟล์มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย เหมาะสำหรับภาพที่มีรายละเอียดสูง เช่น portfolio
- Lossy Compression: ลดข้อมูลภาพบางส่วนเพื่อให้ไฟล์มีขนาดเล็กลงมาก โดยไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพ เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไปบนเว็บไซต์
เครื่องมือบีบอัดไฟล์:
- TinyPNG: เหมาะสำหรับการบีบอัดไฟล์ PNG และ JPEG
- ImageOptim: อีกตัวที่แนะนำสำหรับการบีบอัดไฟล์แบบกลุ่ม เหมาะสำหรับโปรเจ็กต์ขนาดใหญ่
- Squoosh: มีการตั้งค่าการบีบอัดหลายตัวเลือก รวมถึงการแปลงเป็นฟอร์แมต WebP
ข้อมูลเชิงลึก: งานวิจัยของ HubSpot ระบุว่าภาพที่บีบอัดอย่างเหมาะสมสามารถลดเวลาโหลดได้ถึง 40% ซึ่งส่งผลดีต่อความพึงพอใจของผู้ใช้งานและประสิทธิภาพ SEO
ใช้ Image CDN เพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพแบบเรียลไทม์
Image CDN เช่น Cloudinary หรือ Imgix จะปรับภาพแบบไดนามิกตามอุปกรณ์และเครือข่ายของผู้ใช้ โดยจะปรับฟอร์แมต ขนาด และคุณภาพของภาพแบบเรียลไทม์ เพื่อให้เว็บไซต์ทำงานได้ดีที่สุดโดยไม่ต้องปรับแต่งเอง
การลดและปรับปรุงโค้ดเพื่อเพิ่ม Page Speed ดีที่สุด
โค้ดที่มีประสิทธิภาพ เช่น CSS, JavaScript และ HTML ที่เขียนอย่างดีและไม่มีส่วนที่เกินหรือซ้ำซ้อน เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เว็บไซต์โหลดได้รวดเร็ว แต่หากโค้ดไม่ได้รับการปรับแต่ง เช่น มีการใช้โค้ดเกินจำเป็น และไม่ได้ทำการลดขนาดโค้ด จะทำให้เวลาโหลดเว็บไซต์ช้าลง และทำให้การโต้ตอบของผู้ใช้กับเว็บไซต์ไม่ดี ส่งผลให้คะแนนการจัดอันดับบน Search Engine เช่น Google ลดลง
การลดขนาดของ CSS, JavaScript และ HTML
การลดขนาด คือการลบอักขระที่ไม่จำเป็น เช่น เว้นวรรค คอมเมนต์ และโค้ดที่ซ้ำซ้อนออก โดยไม่กระทบต่อการทำงานของโค้ด วิธีนี้จะช่วยลดขนาดไฟล์และทำให้การดาวน์โหลดเร็วขึ้น
วิธีการลดขนาดโค้ด:
- สำหรับ JavaScript ใช้เครื่องมืออย่าง UglifyJS หรือ Terser
- สำหรับ CSS ใช้ CSSNano หรือ CleanCSS
- สำหรับ HTML ใช้ HTMLMinifier เพื่อลดขนาดมาร์กอัป
การไม่ใช้ทรัพยากรที่ขัดขวางการเรนเดอร์
ทรัพยากรที่ขัดขวางการเรนเดอร์ เช่น ไฟล์ JavaScript และ CSS ที่โหลดแบบซิงโครนัส อาจทำให้เบราว์เซอร์ไม่สามารถแสดงผลเนื้อหาได้จนกว่าจะโหลดเสร็จสมบูรณ์ ส่งผลให้การแสดงผลหน้าเว็บล่าช้า
วิธีแก้ปัญหา:
- ใช้ defer attribute เพื่อเลื่อนการทำงานของ JavaScript จนกว่า HTML จะถูกประมวลผลเสร็จ
- ใช้ async attribute เพื่อให้สคริปต์ที่ไม่จำเป็นโหลดได้อย่างอิสระ
- ฝัง CSS ที่จำเป็นสำหรับเนื้อหาส่วนบนของหน้าไว้ใน HTML โดยตรง เพื่อให้โหลดสไตล์ที่จำเป็นก่อน
การแก้ไขปัญหาเหล่านี้จะช่วยปรับปรุง First Contentful Paint (FCP) และ Time to Interactive (TTI) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญของความพึงพอใจของผู้ใช้งาน
การใช้แคชของเบราว์เซอร์สำหรับผู้เข้าชมที่กลับมาใหม่
แคชของเบราว์เซอร์จะเก็บข้อมูลทรัพยากรแบบสถิต เช่น รูปภาพ, CSS และ JavaScript ไว้บนอุปกรณ์ของผู้ใช้ ทำให้การโหลดเว็บไซต์เร็วขึ้นสำหรับผู้ที่กลับมาเยี่ยมชมซ้ำ เนื่องจากไม่ต้องดาวน์โหลดข้อมูลอีกครั้ง
วิธีการตั้งค่า:
- ใช้ cache-control headers เพื่อกำหนดระยะเวลาที่เบราว์เซอร์ควรเก็บข้อมูลไว้
- ใช้เครื่องมืออย่าง Apache mod_cache หรือ NGINX FastCGI cache เพื่อทำการแคชที่ฝั่งเซิร์ฟเวอร์
การลบโค้ดที่ไม่ได้ใช้งาน
เมื่อเราใช้งานเว็บไซต์มานาน หรือมีการแก้ไขดีไซน์, เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ บ่อยครั้ง โค้ดบางส่วนที่เคยใช้ในเว็บไซต์อาจไม่ถูกใช้งานอีกต่อไป แต่โค้ดเหล่านี้ยังคงอยู่ในไฟล์ CSS หรือ JavaScript ของเว็บไซต์ ซึ่งทำให้ไฟล์มีขนาดใหญ่และมีโค้ดที่ไม่จำเป็น ส่งผลเสียต่อ Page Speed
แนวทางที่ดีที่สุด:
- ใช้ PurgeCSS หรือ UnCSS เพื่อค้นหาและลบ CSS ที่ไม่ได้ใช้งาน
- ใช้ Chrome DevTools เพื่อตรวจหาและลบโค้ด JavaScript ที่ซ้ำซ้อน
เคล็ดลับ: จากข้อมูลของ Google การลบ JavaScript ที่ไม่ได้ใช้งานเพียง 100KB อาจช่วยเพิ่มความเร็วในการโหลดได้ถึง 25% โดยเฉพาะบนเครือข่ายที่ช้ากว่า
การแยกโค้ดเพื่อโหลดแบบโมดูล
การแยกโค้ดช่วยแบ่งไฟล์ JavaScript ขนาดใหญ่เป็นชิ้นเล็ก ๆ ทำให้โหลดเฉพาะส่วนที่จำเป็นสำหรับการแสดงผลของผู้ใช้ปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยลดเวลาในการโหลดเริ่มต้นและปรับปรุงความเร็วของเว็บไซต์
เครื่องมือที่แนะนำ:
- Webpack รองรับการตั้งค่าการแยกโค้ดขั้นสูงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
- ใช้ Dynamic Imports เพื่อโหลดทรัพยากรตามความต้องการของผู้ใช้
การปรับปรุงและลดโค้ดที่ไม่จำเป็นเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มความเร็วของเว็บไซต์ ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้น และเพิ่มโอกาสในการจัดอันดับที่สูงขึ้นในผลการค้นหาของ Google
การปรับปรุง Page Speed ด้วยเทคนิค Prefetch และ Preload
Prefetch และ Preload ทรัพยากรที่สำคัญ
การเพิ่มความเร็วให้กับการโหลดหน้าเว็บ สามารถทำได้โดยการคาดการณ์และโหลดทรัพยากรล่วงหน้า ซึ่งช่วยลดเวลารอของผู้ใช้ ทำให้เว็บไซต์ตอบสนองได้เร็วและราบรื่นยิ่งขึ้น
Prefetching:
- การ Prefetch คือการโหลดทรัพยากร (เช่น สคริปต์, รูปภาพ หรือไฟล์ต่างๆ) ล่วงหน้าในเบื้องหลัง
- เหมาะสำหรับการเตรียมทรัพยากรของหน้าที่ผู้ใช้อาจเข้าชมต่อไป (หน้าเพจที่คาดว่าจะถูกเรียกใช้งานต่อ)
เทคนิคขั้นสูงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ Page Speed
หลังจากที่ได้ปรับปรุงพื้นฐานแล้ว การใช้เทคนิคขั้นสูงสามารถเพิ่มความเร็วได้ดี และเกิดความคาดหวังการใช้งานของผู้ใช้เว็บ
Server-Side Rendering (SSR) และ Static Site Generation (SSG)
เว็บไซต์ไดนามิกส่วนใหญ่ใช้การเรนเดอร์ฝั่งลูกค้า (Client-Side Rendering) ซึ่งอาจทำให้เวลาโหลดเริ่มต้นช้า SSR และ SSG ช่วยแก้ปัญหานี้โดยการเรนเดอร์เนื้อหาล่วงหน้า
- Server-Side Rendering (SSR): เรนเดอร์ HTML ทั้งหมดบนเซิร์ฟเวอร์สำหรับแต่ละคำขอ ทำให้เนื้อหาแสดงผลทันทีเมื่อโหลดหน้า
- เหมาะกับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาหนักหรือมีส่วนที่ต้องโต้ตอบ
- Static Site Generation (SSG): สร้างหน้าเว็บเป็นไฟล์สถิติล่วงหน้าระหว่างกระบวนการ build ช่วยให้โหลดเร็วมาก
- เหมาะกับเว็บไซต์ที่เนื้อหาไม่เปลี่ยนแปลงบ่อย เช่น บล็อกหรือเอกสารเฟรมเวิร์กอย่าง Next.js และ Gatsby ช่วยให้การนำเทคนิคเหล่านี้มาใช้ได้ง่ายขึ้น
ข้อมูลจากอุตสาหกรรม: Smashing Magazine รายงานว่าเว็บไซต์ที่ใช้ SSG มีความเร็วในการโหลดเร็วขึ้นถึง 70% เมื่อเทียบกับเว็บไซต์ที่เรนเดอร์โดยเซิร์ฟเวอร์แบบดั้งเดิม
อัปเกรดเป็นโปรโตคอล HTTP/2 และ HTTP/3
โปรโตคอลเว็บรุ่นใหม่ช่วยปรับปรุงความเร็วของเว็บไซต์และความเสถียร โดยเฉพาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีทรัพยากรมาก
- HTTP/2: รองรับการ multiplexing ทำให้สามารถส่งคำขอหลายๆ คำขอผ่านการเชื่อมต่อเดียวพร้อมกัน ลดความล่าช้าและเพิ่มความเร็วในการโหลด
- HTTP/3: พัฒนาต่อยอดจาก HTTP/2 ด้วยการปรับปรุงความปลอดภัยและความเร็วในการเชื่อมต่อ โดยใช้โปรโตคอล QUIC ซึ่งทำงานได้ดีบนเครือข่ายที่ไม่เสถียร
เคล็ดลับ: การเปิดใช้งาน HTTP/3 บนเซิร์ฟเวอร์ช่วยลดความล่าช้าในการเชื่อมต่อ ทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นสำหรับผู้ใช้งานทั่วโลก
ใช้ Real User Monitoring (RUM) เพื่อข้อมูลเชิงลึก
เครื่องมือทดสอบทั่วไปไม่สามารถจับพฤติกรรมของผู้ใช้จริงได้ทั้งหมด การใช้ Real User Monitoring (RUM) จะช่วยวัดประสิทธิภาพตามการโต้ตอบจริงของผู้ใช้ ให้ข้อมูลที่แม่นยำมากขึ้น
เครื่องมือ RUM ที่แนะนำ:
- New Relic และ Datadog มีโซลูชัน RUM ครบวงจร วัดเวลาโหลด ความสามารถในการโต้ตอบ และข้อผิดพลาด
- Google Analytics ก็มีฟีเจอร์พื้นฐานในการติดตามประสิทธิภาพของหน้าเว็บ
การปรับปรุงฐานข้อมูลสำหรับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาหนัก
สำหรับเว็บไซต์ที่ใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ การปรับปรุงประสิทธิภาพฐานข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ
เทคนิคการปรับปรุง:
- Index ฟิลด์ที่มีการค้นหาบ่อย เพื่อเพิ่มความเร็วในการค้นหาและประมวลผล
- Optimize Queries: เขียนคำสั่ง query ให้เรียบง่าย เพื่อลดเวลาในการประมวลผล
- Database Caching: ใช้เครื่องมืออย่าง Memcached หรือ Redis เพื่อเก็บข้อมูลในหน่วยความจำ ช่วยให้เรียกคืนข้อมูลได้เร็วขึ้น
เคล็ดลับ: ทำความสะอาดฐานข้อมูลเป็นประจำ เพื่อลบข้อมูลเก่าหรือซ้ำซ้อน ช่วยลดเวลาในการประมวลผล
Performance Budget: การรักษา Page Speed ในระยะยาว
การตั้ง Performance Budget จะช่วยกำหนดขีดจำกัดสำหรับเมตริกสำคัญ เช่น ขนาดไฟล์ เวลาโหลด และจำนวนคำขอ HTTP เพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์จะยังคงมีประสิทธิภาพดีแม้มีการเพิ่มฟีเจอร์หรือเนื้อหาใหม่
วิธีตั้งค่า Performance Budget:
- กำหนดค่าที่เหมาะสมสำหรับเมตริก เช่น LCP, TTFB, และ CLS
- ใช้เครื่องมืออย่าง Lighthouse CI เพื่อตรวจสอบการทดสอบประสิทธิภาพอัตโนมัติ
ขั้นตอนสุดท้าย: การติดตามผลและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
การเพิ่มประสิทธิภาพความเร็วของเว็บไซต์ควรทำอย่างสม่ำเสมอ การตรวจสอบประสิทธิภาพเป็นระยะ ๆ การวิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ใช้จริง และการตั้งค่า Performance Budget จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณยังคงโหลดได้รวดเร็ว การปรับปรุงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องจะช่วยรักษาประสิทธิภาพระดับสูงและเสริมสร้างอันดับบนการค้นหาให้ดีขึ้นอีกด้วย
บทสรุป: Page Speed ที่โหลดเร็วชนะในด้าน SEO และประสบการณ์ผู้ใช้
ความเร็วของเว็บไซต์ หรือ Page Speed ไม่ใช่แค่ตัวชี้วัดทางเทคนิค แต่เป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ออนไลน์ เว็บไซต์ที่โหลดเร็วจะดึงดูดผู้เข้าชมได้มากขึ้น ทำให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมกับเนื้อหาและเปลี่ยนเป็นลูกค้าประจำได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ Google ยังให้คะแนนกับเว็บไซต์ที่โหลดเร็วด้วยอันดับที่สูงกว่า ทำให้การปรับปรุงความเร็วของหน้าเว็บไซต์เป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จระยะยาว
ด้วยการปฏิบัติตามกลยุทธ์ที่แนะนำจากบทความนี้ ตั้งแต่การตรวจสอบความเร็วอย่างละเอียด ไปจนถึงการใช้เทคนิคขั้นสูง เช่น Server-Side Rendering (SSR) และ HTTP/3 คุณสามารถมั่นใจได้ว่าเว็บไซต์ของคุณจะมอบประสบการณ์ที่สมบูรณ์สำหรับผู้ใช้งานทุกคน อย่างไรก็ตาม การปรับปรุงประสิทธิภาพไม่ใช่กระบวนการที่ทำเพียงครั้งเดียว การติดตามผลอย่างสม่ำเสมอและการปรับปรุงตามข้อมูลที่ได้รับจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณยังคงโหลดเร็ว ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูงสุด
พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพให้เว็บไซต์ของคุณแล้วหรือยัง?
ให้อินสไปราช่วยพัฒนาเว็บไซต์ของคุณให้มีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถตรวจสอบข้อมูลบริการ SEO เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราสามารถปรับปรุงความเร็วของเว็บไซต์และเพิ่มอันดับบนผลการค้นหาให้ดียิ่งขึ้น