ทำไมเทรนด์การทำ SEO 2025 ถึงสำคัญ?
เทรนด์การทำ SEO 2025 กำลังเปลี่ยนโฉมวิธีที่ธุรกิจดิจิทัลต้องวางกลยุทธ์เพื่อให้เว็บไซต์ยังคงมองเห็นได้บนหน้าแรกของ Google ในโลกที่มี AI เข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น การทำ SEO ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของคีย์เวิร์ดและ Backlink อีกต่อไป แต่ต้องปรับเนื้อหาให้เข้าใจง่าย ตรงกับ Search Intent และเป็นมิตรต่อ AI Overviews, Zero-Click Search รวมถึงแพลตฟอร์มใหม่อย่าง TikTok และ ChatGPT Search
เว็บไซต์ที่ยังใช้วิธี SEO แบบเดิมอาจเสี่ยงต่อการหลุดอันดับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากไม่สามารถตอบโจทย์พฤติกรรมผู้ใช้งานยุคใหม่ที่ต้องการคำตอบรวดเร็ว เข้าใจง่าย และมีความน่าเชื่อถือ
บทความนี้ เราจะพาคุณอัปเดต 11 เทรนด์การทำ SEO 2025 ที่สำคัญ พร้อมตัวอย่างแนวทางปฏิบัติที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณสามารถ:
- ปรากฏใน AI Overviews ของ Google
- เพิ่มโอกาสติด Featured Snippet และ People Also Ask
- สร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดี (UX) ตรงตาม Core Web Vitals
- รองรับการค้นหาหลากหลายช่องทาง เช่น Voice Search และ Visual Search
มาดูกันว่าแต่ละเทรนด์คืออะไร และคุณควรเริ่มปรับตัวจากจุดไหนก่อน
อัปเดต 11 เทรนด์การทำ SEO 2025 ที่สำคัญ
I. เทรนด์การทำ SEO ด้าน AI Overviews และการเปลี่ยนแปลงของ SERP
ในปี 2025 Google ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ภายใต้ชื่อว่า AI Overviews ซึ่งเป็นการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Generative AI) เพื่อสังเคราะห์คำตอบจากหลากหลายแหล่งข้อมูล และแสดงผลแบบสรุปบนหน้าแรกของ Google โดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บไซต์ใดเลย นี่คือจุดเปลี่ยนที่ใหญ่ที่สุดของวงการทำ SEO
Search Generative Experience (SGE) คืออะไร?
- Google ใช้ระบบ AI วิเคราะห์คำถาม และดึงข้อมูลจากเว็บไซต์ต่าง ๆ มาประมวลผลเป็นคำตอบสั้น ๆ
- แสดงอยู่เหนือผลการค้นหาแบบดั้งเดิม (Organic Result)
- ส่งผลโดยตรงต่อ CTR และ Traffic ที่เข้าสู่เว็บไซต์
กลยุทธ์ปรับตัว:
- เขียนเนื้อหาแบบ FAQ หรือ Q&A ที่ให้คำตอบสั้น ชัดเจน และตรงประเด็น
- ใช้ FAQ Schema และ How-to Schema เพื่อให้ Google เข้าใจโครงสร้างข้อมูล
- พัฒนาเนื้อหาที่สอดคล้องกับหลัก E-E-A-T เช่น อ้างอิงแหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือ หรือเนื้อหาจากผู้มีประสบการณ์ตรง
II. เทรนด์การทำ SEO 2025 กับเครื่องมือค้นหาทางเลือกที่มาแรง

เทรนด์การเพิ่มประสิทธิภาพเสิร์ชเอนจิ้น 2025 กำลังเปลี่ยนจากการพึ่งพา Google เพียงอย่างเดียว ไปสู่ยุคของการค้นหาหลายแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือค้นหาที่ใช้ AI อย่าง Perplexity, Bing AI หรือแพลตฟอร์มเฉพาะทางที่คนไทยนิยม เช่น TikTok, YouTube หรือ Pantip
ทำไมเครื่องมือค้นหาทางเลือกจึงเริ่มนำหน้า Google ในบางบริบท?
- AI Search Engines อย่าง ChatGPT Search หรือ Perplexity สามารถให้คำตอบสรุปจากหลายแหล่งในพริบตา
- YouTube & TikTok กลายเป็นแหล่งค้นหาข้อมูลประเภทวิดีโอ โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z
- Reddit, Quora, Pantip กลายเป็นแหล่งที่ผู้ใช้หาคำตอบที่อิงจากประสบการณ์ตรง ไม่ใช่แค่บทความ SEO
- Bing AI ได้รับการปรับปรุงให้สามารถตอบคำถามซับซ้อน และอ้างอิงแหล่งข้อมูลได้แม่นยำขึ้น
เทรนด์การทำ SEO ธุรกิจต้องปรับตัวอย่างไร?
- กระจายเนื้อหาไปยังหลายแพลตฟอร์ม ไม่พึ่งพาแค่ Google เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพ SEO สำหรับ TikTok หรือ YouTube
- ทำ Content ที่ตอบคำถามได้ชัดเจน เพื่อให้ AI Search ดึงข้อมูลมาแสดงในคำตอบ
- เพิ่ม Structured Data และ FAQ Schema ให้เนื้อหาถูกเข้าใจง่ายโดยทั้ง Google และ AI Search Engines
- มีส่วนร่วมในคอมมูนิตี้ที่ผู้ใช้เชื่อถือ เช่น ตอบคำถามใน Quora หรือ Reddit เพื่อเสริมความน่าเชื่อถือ
แนวโน้มสำคัญ:
- ผู้ใช้ค้นหาสินค้าบน Shopee หรือ Lazada แทน Google
- กลุ่มนักเรียน/นักศึกษาค้นหาความรู้ผ่าน YouTube Shorts หรือ TikTok
- นักธุรกิจค้นหาเคสจริงผ่าน LinkedIn และ Quora
การทำ SEO ปี 2025 ต้องขยายมุมมองให้กว้างกว่าเดิม ธุรกิจควรเริ่มมองว่า “SEO ไม่ได้เท่ากับ Google อีกต่อไป” แต่คือ “การปรากฏในทุกจุดที่ผู้ใช้งานค้นหา”
III. การค้นหาผ่านชุมชนออนไลน์และ UGC เทรนด์การทำ SEO ที่ไม่ควรมองข้าม
ในปี 2025 พฤติกรรมผู้ใช้งานเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ผู้คนหันไปพึ่งพาชุมชนออนไลน์ และเนื้อหาจากผู้ใช้จริง (User-Generated Content – UGC) มากขึ้น แทนที่จะเชื่อถือเฉพาะเว็บไซต์ทางการหรือบทความ SEO ที่เน้นการจัดอันดับ
ทำไม UGC และคอมมูนิตี้ถึงมีอิทธิพลมากขึ้น?
- ความจริงใจจากผู้ใช้จริง: คนให้ความสำคัญกับประสบการณ์ตรง มากกว่าข้อมูลที่ถูกเขียนเพื่อทำอันดับ
- โต้ตอบได้ทันที: การตั้งคำถาม-ตอบกลับใน Pantip, Reddit หรือ Facebook Group ได้คำตอบเร็วและมีหลายมุมมอง
- แพลตฟอร์มที่คนไทยนิยม: Pantip, TikTok, Facebook, Quora กลายเป็นช่องทางค้นหาคำแนะนำ รีวิว และสินค้า
กลยุทธ์ SEO ที่ธุรกิจควรนำมาใช้ในยุค UGC
- สร้างบทสนทนาในชุมชน: ตอบคำถามใน Quora, Pantip หรือกลุ่ม Facebook โดยเน้นให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ ไม่เน้นขาย
- สนับสนุนให้ลูกค้าสร้าง UGC: เช่น รีวิวสินค้า แชร์ประสบการณ์บนโซเชียล แล้วนำ UGC กลับมาใช้ในเว็บไซต์
- ทำ SEO สำหรับ Social Search: เช่น การใส่คีย์เวิร์ดในคำอธิบายวิดีโอ TikTok หรือ Hashtag บน Instagram
- นำบทสนทนาในคอมมูนิตี้มาต่อยอด: แปลงคำถามที่คนสนใจใน Pantip หรือ Reddit มาเป็นบทความ SEO ที่ตอบคำถามโดยตรง
เมื่อผู้บริโภคให้ความสำคัญกับเสียงของคนเหมือนกันมากกว่าเสียงของแบรนด์ ธุรกิจที่เข้าไปมีบทบาทในชุมชน และเปิดทางให้ผู้ใช้นำเสนอแบรนด์แทนตัวเอง จะมีโอกาสประสบความสำเร็จบน SEO ได้มากกว่า
IV. UX และ Core Web Vitals เทรนด์การทำ SEO ที่ Google ยังให้ความสำคัญ
ปี 2025 Google ยังคงให้ความสำคัญกับประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience – UX) อย่างสูง โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่ตอบสนองเร็ว โหลดไว และใช้งานง่าย ไม่ว่าจะเป็นบนมือถือหรือเดสก์ท็อป ซึ่งล้วนสะท้อนผ่าน Core Web Vitals
Core Web Vitals คืออะไร?
Google ใช้ 3 ตัวชี้วัดหลักในการประเมิน UX บนเว็บไซต์:
- LCP (Largest Contentful Paint): เวลาโหลดเนื้อหาหลักในหน้า ควรไม่เกิน 2.5 วินาที
- INP (Interaction to Next Paint): ความเร็วในการโต้ตอบ (แทนที่ FID เดิม) ควรต่ำกว่า 200 มิลลิวินาที
- CLS (Cumulative Layout Shift): ความเสถียรของหน้า ควรมีค่าน้อยกว่า 0.1
เทรนด์การทำ SEO 2025: Mobile-First, Speed-First
- กว่า 60% ของทราฟฟิกในไทยมาจากมือถือ Google ยังคงยึด Mobile-First Indexing
- หากเว็บไซต์โหลดช้า ผู้ใช้กดออกเร็ว Google จะตีความว่า UX แย่ → ส่งผลเสียต่ออันดับ
กลยุทธ์ปรับปรุง UX ให้พร้อมสำหรับเทรนด์การทำ SEO
- ใช้ Responsive Design: รองรับทุกขนาดหน้าจอ
- ลดขนาดภาพ / Lazy Load: ทำให้โหลดเร็วขึ้นแบบไม่เสียคุณภาพ
- จัดวางปุ่มและเมนูให้คลิกง่าย: โดยเฉพาะในเวอร์ชันมือถือ
- ตรวจสอบด้วย Google PageSpeed Insights หรือ Lighthouse: เพื่อรู้ว่าเว็บมีจุดบกพร่องด้านความเร็วหรือไม่
เว็บไซต์ที่ให้ UX ที่ดี ไม่ใช่แค่ช่วยให้ติดอันดับง่ายขึ้น แต่ยังเปลี่ยนผู้เข้าชมให้กลายเป็นลูกค้าได้จริง
V. Zero-Click Search – เมื่อผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องคลิกเว็บไซต์อีกต่อไป
หนึ่งในเทรนด์ SEO ที่ส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์โดยตรงในปี 2025 คือ Zero-Click Search หรือการค้นหาที่ Google แสดงคำตอบบนหน้า SERP ทันที โดยไม่ต้องพาผู้ใช้คลิกเข้าเว็บ
Zero-Click Search คืออะไร?
Google สรุปคำตอบให้ผู้ใช้ทันที เช่น:
- Featured Snippets – กล่องข้อความที่แสดงคำตอบแบบย่อ
- People Also Ask (PAA) – คำถามที่เกี่ยวข้องพร้อมคำตอบ
- AI Overviews – สรุปแบบใหม่ที่สร้างขึ้นจากหลายแหล่งข้อมูล
- Knowledge Graph / Rich Results – ข้อมูลแบบมีโครงสร้าง เช่น เวลาเปิดร้าน, ราคา ฯลฯ
ผลคือ CTR ลดลง แม้คุณจะอยู่อันดับ 1
กลยุทธ์รับมือ Zero-Click Search
- เขียนคำตอบสั้น ชัดเจน ตรงประเด็น
- ใช้ H2/H3 เป็นคำถาม เช่น “Zero-Click Search คืออะไร?”
- ตอบภายใน 40–60 คำใต้หัวข้อทันที
- ใช้ H2/H3 เป็นคำถาม เช่น “Zero-Click Search คืออะไร?”
- เพิ่มโอกาสติด Featured Snippets
- ใช้ลิสต์, ตาราง หรือ How-to Steps
- ใส่ข้อมูลให้ Google ดึงไปแสดงได้ง่าย
- ใช้ลิสต์, ตาราง หรือ How-to Steps
- ใช้ Schema Markup
- เพิ่ม FAQ Schema, How-to Schema เพื่อให้ Google เข้าใจโครงสร้างข้อมูลของคุณ
- เพิ่ม FAQ Schema, How-to Schema เพื่อให้ Google เข้าใจโครงสร้างข้อมูลของคุณ
- ทำ Meta Description ให้น่าอ่าน
- แม้ Google จะดึงคำตอบไปแสดง ผู้ใช้ที่ “สนใจเพิ่มเติม” ยังต้องการเนื้อหาลึก → คำอธิบายที่ดึงดูด = เพิ่มค่า CTR
- แม้ Google จะดึงคำตอบไปแสดง ผู้ใช้ที่ “สนใจเพิ่มเติม” ยังต้องการเนื้อหาลึก → คำอธิบายที่ดึงดูด = เพิ่มค่า CTR
- สร้างเนื้อหาคุณภาพสูงที่ให้มากกว่าคำตอบ
- Featured Snippet อาจให้คำตอบย่อ แต่บทความคุณต้องให้ข้อมูล “ครบกว่า” เพื่อดึงให้คลิก
เลี่ยงแค่ทำ SEO เพื่อการติดอันดับแรก แต่ทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณคือคำตอบที่ดีที่สุด แม้ไม่ต้องคลิกก็สร้างแบรนด์ได้
VI. Voice Search Optimization – ปรับเว็บไซต์ให้ตอบได้แม้ผู้ใช้พูดถาม

การค้นหาด้วยเสียงกำลังกลายเป็นหนึ่งในพฤติกรรมหลักของผู้ใช้งาน โดยเฉพาะผ่าน Google Assistant, Siri และ Alexa การทำ SEO สำหรับ Voice Search จึงเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม
พฤติกรรม Voice Search ที่เปลี่ยนเกม SEO
- คำค้นเต็มประโยค:
เช่น จากเดิม: “ร้านกาแฟใกล้ฉัน” → กลายเป็น: “ร้านกาแฟใกล้ BTS อโศกที่เปิดถึงดึก” - ค้นหาด้วยคำถาม (Question-based Queries):
คำถามประเภท “อะไร”, “ที่ไหน”, “เมื่อไหร่”, “อย่างไร” ถูกใช้มากขึ้น เช่น:
- “คลินิกฟอกฟันใส่รีเทนเนอร์ได้ไหม”
- “อาหารเสริมบำรุงสายตายี่ห้อไหนดี”
- “คลินิกฟอกฟันใส่รีเทนเนอร์ได้ไหม”
- การค้นหาเชิงท้องถิ่น (Local Intent):
Voice Search มักเกี่ยวข้องกับสถานที่จริง เช่น “ร้านนวดแถวลาดพร้าวที่เปิดวันอาทิตย์”
กลยุทธ์ปรับ SEO ให้รองรับ Voice Search
- เขียนเนื้อหาเหมือนพูดคุย: ใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติ กระชับ ไม่ทางการจนเกินไป เช่น “ลองนึกถึงร้านอาหารที่เปิดถึงดึก…” แทน “ร้านอาหารที่เปิดช่วงค่ำ”
- เพิ่ม Section คำถาม-คำตอบ (FAQ):
- ใช้ H2/H3 เป็นคำถามที่มีแนวโน้มถูกค้นด้วยเสียง เช่น “คอลลาเจนกินเวลาไหนดีที่สุด?”
- ใส่คำตอบสั้น ๆ ใต้หัวข้อแบบตรงประเด็น
- ใช้ H2/H3 เป็นคำถามที่มีแนวโน้มถูกค้นด้วยเสียง เช่น “คอลลาเจนกินเวลาไหนดีที่สุด?”
- เน้นการใช้ Long Tail Keywords: เนื่องจากคำค้นจากเสียงมักยาวกว่าปกติ คำหลักควรสะท้อนเจตนาของผู้ใช้ให้ชัด เช่น:
- คำสั้น: “เซรั่มหน้าใส”
- คำแบบ Voice Search: “เซรั่มหน้าใสที่เหมาะกับผิวแพ้ง่ายราคาไม่เกิน 500”
- คำสั้น: “เซรั่มหน้าใส”
- เสริม Local SEO อย่างจริงจัง:
- อัปเดต Google Business Profile
- ใส่ข้อมูลเปิด-ปิด / เส้นทาง / รีวิวจากลูกค้าให้ครบ
- ใช้คำว่า “ใกล้ฉัน” และสถานที่เฉพาะในคอนเทนต์
- อัปเดต Google Business Profile
- ใช้ Schema Markup: เช่น FAQ, Local Business, Product เพื่อช่วยให้ Google ดึงคำตอบไปแสดงในการค้นหาด้วยเสียงได้ง่ายขึ้น
การปรับปรุง SEO ที่ดีในปี 2025 ไม่ได้แค่ติดอันดับ แต่ต้อง “พูดตอบ” ผู้ใช้ได้เมื่อพวกเขาถามด้วยเสียง
VII. Data-Driven SEO – เทรนด์การทำ SEO ที่ใช้ข้อมูลจริงตัดสินใจแทนสัญชาตญาณ
เมื่อการทำ SEO ขับเคลื่อนด้วยพฤติกรรมผู้ใช้ การตัดสินใจโดยอิงจากข้อมูลเชิงลึกจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็น “Data-Driven SEO” ไม่ได้เป็นแค่แนวโน้ม แต่คือวิธีที่แบรนด์ชั้นนำใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง
ทำไม Data-Driven SEO ถึงสำคัญกว่าที่เคย?
- Google ให้ความสำคัญกับสัญญาณพฤติกรรมผู้ใช้ มากกว่าคีย์เวิร์ดเพียงอย่างเดียว เช่น Click-Through Rate (CTR), Time on Page, Bounce Rate
- ช่วยระบุว่าเนื้อหาส่วนใดทำงานได้ดี และส่วนใดควรปรับปรุง
- สร้างกลยุทธ์ SEO ที่แม่นยำกว่าเดิม ด้วยข้อมูลจริง ไม่ใช่แค่การคาดเดา
เครื่องมือที่ควรมีสำหรับการทำ Data-Driven SEO
- Google Search Console – วิเคราะห์คำค้นหาที่ทำให้เว็บติดอันดับ และตรวจสอบ CTR ของแต่ละหน้า
- Google Analytics 4 (GA4) – วัดพฤติกรรม เช่น Bounce Rate, Scroll Depth และ Conversion Path
- Hotjar / Microsoft Clarity – Heatmaps และ Session Recordings เพื่อดูว่าผู้ใช้มีปฏิสัมพันธ์กับเว็บไซต์อย่างไร
- SEMrush / Ahrefs / Google Trends – สำหรับวิเคราะห์คีย์เวิร์ด คู่แข่ง และเทรนด์ที่กำลังมาแรง
วิธีใช้ข้อมูลให้เกิดประโยชน์สูงสุด
- จับคู่คีย์เวิร์ดกับ Intent ของผู้ใช้: วิเคราะห์ว่าคีย์เวิร์ดที่ใช้มีเจตนาแบบใด (Informational / Transactional / Navigational) และสร้างเนื้อหาให้ตรงเจตนา
- ทดสอบ Meta Title และ Meta Description: ทำ A/B Testing เพื่อดูเวอร์ชันใดกระตุ้นการคลิกได้ดีกว่า แล้วปรับใช้กับหน้าอื่น
- ติดตามพฤติกรรมผ่าน Funnel: เข้าใจว่าผู้ใช้คลิกเข้ามาแล้วไปถึง Conversion หรือออกจากหน้านั้นกลางคัน
- ใช้ข้อมูลเพื่อทำเนื้อหาใหม่และปรับของเดิม: หน้าไหนมี Impression สูงแต่ CTR ต่ำ = ควรปรับหัวเรื่อง / Meta หรือหากหน้าไหนมี Bounce Rate สูง = อาจต้องปรับ UX หรือปรับเนื้อหาให้ตรงกับ Intent
- ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์: ใช้ Google Gemini หรือ Looker Studio เพื่อสร้าง Dashboard SEO ที่แสดงข้อมูลแบบเรียลไทม์ และช่วยให้ทีมการตลาดตัดสินใจได้ทันที
การตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลจะทำให้ SEO ของคุณ “แม่นยำขึ้น” และ “ปรับปรุงได้ต่อเนื่อง” มากกว่าการทำแบบเดิม ๆ
VIII. หลักเกณฑ์ E-E-A-T ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้ Google เชื่อใจคุณมากขึ้น

หนึ่งในเทรนด์ SEO 2025 ที่ Google ให้ความสำคัญมากขึ้นคือ E-E-A-T (Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness) ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานสำคัญในการประเมินคุณภาพของเนื้อหาและเว็บไซต์
เกณฑ์ E-E-A-T คืออะไร?
- Experience (ประสบการณ์ตรง): ผู้เขียนควรมีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่นำเสนอ เช่น รีวิวจากผู้ใช้จริง หรือคำแนะนำจากผู้เคยลองใช้งาน
- Expertise (ความเชี่ยวชาญ): แสดงให้เห็นว่าผู้เขียนมีความรู้เฉพาะทาง เช่น นักโภชนาการเขียนบทความสุขภาพ
- Authoritativeness (ความน่าเชื่อถือในวงการ): เว็บไซต์ควรได้รับการอ้างอิงจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น เว็บไซต์ข่าว หรือองค์กรอุตสาหกรรม
- Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ): เว็บไซต์ต้องมีข้อมูลที่ชัดเจน เช่น นโยบายความเป็นส่วนตัว HTTPS และข้อมูลการติดต่อ
ทำไม E-E-A-T ถึงส่งผลต่ออันดับ SEO?
- ช่วยให้ Google คัดกรองเนื้อหาคุณภาพสำหรับหมวด YMYL (Your Money, Your Life) เช่น สุขภาพ การเงิน กฎหมาย
- เว็บไซต์ที่มี E-E-A-T สูงจะมีโอกาสติด Featured Snippets และ SGE มากขึ้น
- ลดความเสี่ยงจากการถูกกระทบเมื่อ Google ปรับอัลกอริทึม
แนวทางปรับเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับ E-E-A-T
- ใส่ชื่อผู้เขียนและประวัติ (Author Bio): ใช้ชื่อจริง พร้อมข้อมูลความเชี่ยวชาญ เช่น “นักกายภาพบำบัดที่มีประสบการณ์ 10 ปี” และลิงก์ไปยังหน้า LinkedIn หรือหน้าทีมงาน
- เพิ่มข้อมูลเกี่ยวกับองค์กร (About Us): บอกให้ชัดเจนว่าองค์กรคือใคร มีความเชี่ยวชาญด้านใด และเคยทำงานกับแบรนด์ใดบ้าง
- แสดงแหล่งที่มาของข้อมูล: ลิงก์ไปยังแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น งานวิจัย บทความจากหน่วยงานอุตสาหกรรม หรือสื่อหลัก
- สร้างความปลอดภัยให้ผู้ใช้งาน: ใช้ HTTPS อย่างถูกต้อง มีหน้า Terms & Conditions, Privacy Policy, และ Contact Us
- ได้รับ Backlink จากเว็บไซต์ที่มี Authority: ไม่จำเป็นต้องได้จากเว็บไซต์ข่าวใหญ่เพียงอย่างเดียว แต่ควรมีลิงก์จากแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม
- มีรีวิวจากลูกค้าจริงหรือผู้เชี่ยวชาญ: แสดงรีวิวจากผู้ที่เคยใช้งานผลิตภัณฑ์หรือบริการจริง หรือมีชื่อเสียงในวงการ
Google ต้องการให้เนื้อหาของคุณ “มาจากแหล่งที่เชื่อถือได้” และ “มีประโยชน์จริง” สำหรับผู้อ่าน ไม่ใช่แค่เขียนเพื่อให้ติดอันดับ
IX. เทรนด์การทำ SEO ปรับปรุง Visual Search – เมื่อการค้นหาผ่านภาพกลายเป็นช่องทาง SEO ใหม่
ปัจจุบัน การค้นหาด้วยภาพ (Visual Search) กลายเป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมหลักของผู้ใช้งาน โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มอย่าง Google Lens, Pinterest Lens และ Bing Visual Search ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลจากรูปภาพแทนการพิมพ์ข้อความ
Visual Search คืออะไร?
Visual Search คือเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถอัปโหลดหรือถ่ายภาพ แล้วให้ระบบค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น สถานที่ใกล้เคียง สินค้าที่คล้ายกัน หรือวิธีใช้งานสินค้าในภาพ
ทำไม Visual Search ถึงเป็นหนึ่งใน เทรนด์การทำ SEO ปี 2025?
- ผู้ใช้ต้องการข้อมูล “ทันที” และ “เห็นภาพจริง” มากกว่าการอ่านข้อความยาว ๆ
- กลุ่มอุตสาหกรรมอย่าง แฟชั่น อาหาร เฟอร์นิเจอร์ ท่องเที่ยว ได้รับผลบวกชัดเจนจากการทำ Visual SEO
- Google และเครื่องมือค้นหา AI เริ่มให้ความสำคัญกับการเข้าใจรูปภาพและบริบท (Image Context) อย่างลึกซึ้งมากขึ้น
กลยุทธ์ Visual Search Optimization ที่ธุรกิจควรทำ
- เพิ่ม Alt Text ให้กับทุกภาพ: เขียนคำอธิบายภาพที่สื่อถึงเนื้อหาในรูปภาพโดยตรง ควรแทรกคำสำคัญที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นธรรมชาติ เช่น “กระเป๋าผ้าแฮนด์เมดสีเขียวเหมาะสำหรับฤดูร้อน”
- ตั้งชื่อไฟล์รูปภาพอย่างเหมาะสม (Descriptive Filenames): ใช้ชื่อไฟล์เช่น blue-sneakers-men-running.jpg แทน IMG_2384.jpg เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจว่าภาพนั้นคืออะไร
- ใช้ Structured Data สำหรับรูปภาพ: ใส่ ImageObject Schema หรือ Product Schema เพื่อช่วยให้ Google จัดประเภทภาพได้แม่นยำ และแสดงใน Rich Results
- เลือกใช้ไฟล์ภาพแบบ WebP หรือ JPEG 2000: รูปภาพควรมีคุณภาพสูงแต่ขนาดไฟล์เล็ก เพื่อให้โหลดได้เร็วบนมือถือและรองรับ Core Web Vitals
- ฝังรูปภาพในบทความอย่างมีบริบท: อย่าใส่รูปภาพเปล่า ๆ ควรมีคำอธิบายหรือข้อความประกอบที่ช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าใจภาพ และช่วยเสริมความหมายให้กับคีย์เวิร์ดที่ใช้ในเนื้อหา
- ใช้ภาพที่มีความสัมพันธ์กับคีย์เวิร์ดหลักของบทความ: โดยเฉพาะในบทความที่หวังติดอันดับบน Google Images หรือ Google Lens เช่น ภาพ before-after, ผลิตภัณฑ์ใช้งานจริง, หรือภาพอินโฟกราฟิก
เมื่อผู้ใช้ไม่ต้องพิมพ์คำค้นหาอีกต่อไปในยุคดิจิทัลนี้ ธุรกิจที่เตรียมรูปภาพให้ “พร้อมใช้งาน” สำหรับการค้นหาผ่านภาพจะสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ก่อนคู่แข่งทางธุรกิจ
X. วิดีโอ & โซเชียลมีเดีย – เทรนด์การทำ SEO ใหม่ที่ส่งผลต่อการจัดอันดับ

พฤติกรรมผู้บริโภคในปี 2025 เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ ผู้ใช้งานไม่เพียงแค่พิมพ์ข้อความค้นหาบน Google แต่ยังเริ่ม “ค้นหา” ผ่านวิดีโอและแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น YouTube, TikTok, Instagram Reels และ Facebook Video อย่างแพร่หลาย นี่คือสาเหตุที่ Video SEO และ Social Media SEO กลายเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ SEO ที่ไม่ควรมองข้าม
ทำไม Video SEO และ Social Media SEO ถึงมีความสำคัญ?
- Google แสดงวิดีโอในผลการค้นหามากขึ้น โดยเฉพาะจาก YouTube
- YouTube กลายเป็นเครื่องมือค้นหาอันดับ 2 ของโลก
- ผู้ใช้งาน Gen Z และ Millennial นิยมค้นหาข้อมูลจาก TikTok และ Instagram มากกว่าจาก Google
- วิดีโอช่วยเพิ่ม Dwell Time และ Engagement บนเว็บไซต์ได้อย่างชัดเจน
กลยุทธ์ Video SEO ที่ควรนำไปใช้
- ใส่คีย์เวิร์ดในชื่อวิดีโอและคำอธิบาย: ชื่อและคำอธิบายควรมีคำค้นหาหลัก เช่น “เทรนด์การทำ SEO 2025 ที่เจ้าของธุรกิจต้องรู้”
- อัปโหลดคำบรรยาย (Captions) และ Transcript: เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหา และยังเพิ่มประสิทธิภาพด้าน Accessibility
- เพิ่ม Timestamps หรือ Chapters: เพื่อแบ่งเนื้อหาเป็นตอน ๆ ให้ผู้ชมเลือกดูตามหัวข้อได้สะดวก Google ก็ชอบโครงสร้างที่ชัดเจน
- ออกแบบ Thumbnail ให้น่าสนใจ: เลือกภาพที่มีข้อความสั้น ดึงดูด และสื่อถึงหัวข้อวิดีโอ
- ฝังวิดีโอลงในบทความบนเว็บไซต์: การ Embed วิดีโอจะช่วยเพิ่ม Engagement และ Time on Page
กลยุทธ์ Social Media SEO ที่ต้องรู้
- ใช้ Hashtags ที่มีคีย์เวิร์ดสอดคล้องกับบทความ: เช่น #SEO2025 #DigitalMarketingTips เพื่อช่วยให้ค้นหาได้ง่ายในแพลตฟอร์มอย่าง TikTok และ Instagram
- ใส่คีย์เวิร์ดในคำอธิบายวิดีโอ: เพิ่มโอกาสที่วิดีโอของคุณจะถูกแสดงในผลลัพธ์การค้นหาภายในแอป
- สร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ “การค้นหาแบบใหม่”: เช่น วิดีโอ How-to, คำแนะนำแบบสั้น ๆ, หรือคอนเทนต์ที่ตอบคำถามผู้ใช้อย่างรวดเร็ว
- เพิ่มลิงก์เว็บไซต์ใน Bio และ Description: เพื่อดึง Traffic จากโซเชียลมีเดียเข้าสู่เว็บไซต์โดยตรง
ธุรกิจที่สามารถใช้วิดีโอและโซเชียลมีเดียให้เชื่อมโยงกับกลยุทธ์ SEO อย่างมีประสิทธิภาพ จะมีโอกาสปรากฏในผลลัพธ์การค้นหาที่หลากหลาย และเข้าถึงผู้ชมได้ในทุกช่องทางสำคัญของยุคดิจิทัล
XI. อัลกอริทึมใหม่ของ Google – MUM และ RankBrain ที่ส่งผลต่อ SEO
ขณะที่ Google ยังคงเดินหน้าผลักดันการใช้ AI เพื่อเข้าใจเนื้อหาและบริบทการค้นหาให้แม่นยำขึ้น โดยมีสองระบบ AI ที่สำคัญคือ MUM (Multitask Unified Model) และ RankBrain ซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของอัลกอริทึมที่ส่งผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ในปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ
ความหมายของ MUM คืออะไร? ต่างจาก RankBrain อย่างไร?
- MUM สามารถประมวลผลข้อมูลจากหลายรูปแบบ (ข้อความ, รูปภาพ, วิดีโอ, เสียง) และหลากหลายภาษาได้พร้อมกัน
- RankBrain เป็นระบบที่เน้นการวิเคราะห์คำค้นหาที่ไม่เคยมีมาก่อน และเรียนรู้จากพฤติกรรมผู้ใช้เพื่อปรับอันดับให้เหมาะสม
นอกจากนี้ MUM มีความสามารถที่เหนือกว่าด้วยการเข้าใจบริบทของผู้ใช้ในเชิงลึก เช่น หากคุณค้นหา “รองเท้าเดินป่าในหน้าหนาวที่เหมาะกับมือใหม่” MUM จะสามารถสังเคราะห์ข้อมูลจากหลายแหล่ง ทั้งรีวิว, คู่มือ, และภาพสินค้า เพื่อให้คำตอบที่เจาะจงมากขึ้น
กลยุทธ์ปรับตัวให้เหมาะกับ MUM และ RankBrain
- สร้างเนื้อหาที่ครอบคลุมและเจาะลึก: ไม่ใช่แค่ตอบคำถามสั้น ๆ แต่ควรให้บริบท ข้อเปรียบเทียบ และคำแนะนำที่มีคุณค่า รวมถึง ใช้โครงสร้างบทความที่สื่อถึง “Complete Guides” หรือ “ทุกอย่างที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ…”
- ใช้ Multimodal Content: ผสานภาพประกอบ, วิดีโอ, และอินโฟกราฟิกลงในบทความ และอย่าลืมใส่ Alt Text และ Metadata ที่เหมาะสม เพื่อให้ AI เข้าใจได้แม่นยำยิ่งขึ้น
- ตอบ Search Intent อย่างแท้จริง: วิเคราะห์เจตนาของผู้ค้นหา เช่น ต้องการความรู้, เปรียบเทียบสินค้า หรือหาวิธีแก้ปัญหา เขียนเนื้อหาที่สอดคล้องกับเจตนาเหล่านั้น โดยไม่ยัดคีย์เวิร์ด
- ปรับปรุง User Engagement Signals: เนื้อหาต้องอ่านง่าย แบ่งหัวข้อชัดเจน ใช้ Bullet Points, H2–H3 ที่มีประโยชน์ และเพิ่มปฏิสัมพันธ์ เช่น CTA, แบบสอบถาม, หรือคำถามปลายเปิด
- รองรับการค้นหาหลายภาษา (Multilingual SEO): หากคุณทำธุรกิจข้ามประเทศ หรือในกลุ่มนักท่องเที่ยว ควรมีบทความที่แปลอย่างเป็นธรรมชาติ และใช้ Hreflang Tags เพื่อให้ Google เข้าใจว่าแต่ละหน้ารองรับภาษาใด
เทรนด์การทำ SEO กับประเด็นสำคัญที่ธุรกิจควรคำนึงถึง
- อัลกอริทึมใหม่ไม่ได้จัดอันดับจากคีย์เวิร์ดล้วน ๆ แต่ให้ความสำคัญกับความเข้าใจเชิงบริบท
- เว็บไซต์ที่ให้ “คำตอบที่ดีที่สุดในแบบมนุษย์” ไม่ใช่แค่ตอบแบบบอท จะได้เปรียบในการจัดอันดับ
- การใช้สื่อหลากหลายรูปแบบ จะช่วยให้คุณเข้ากับโครงสร้างการค้นหายุคใหม่ได้ดียิ่งขึ้น
การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคของ AI Search ไม่ใช่สิ่งที่ต้องกลัว แต่เป็นโอกาสของเว็บไซต์ที่เข้าใจเจตนาของผู้ใช้ และสามารถให้คำตอบที่ลึก ซื่อสัตย์ และมีคุณค่าจริง ๆ
XII. บทสรุป: เทรนด์การทำ SEO 2025 กับกลยุทธ์ที่ธุรกิจควรเริ่ม
สรุปแล้ว ปี 2025 คือจุดเปลี่ยนสำคัญของโลก SEO – ไม่ใช่แค่เพราะ Google ปรับอัลกอริทึม แต่เพราะผู้ใช้งานเปลี่ยนพฤติกรรม และ AI กลายเป็นผู้ช่วยค้นหาอันดับแรกของคนทั่วโลก การทำ SEO จึงไม่สามารถยึดติดกับสูตรเดิม ๆ ได้อีกต่อไป แทนที่จะเน้นเพียงแค่การไต่อันดับ Google อย่างเดียว คุณควรมอง SEO เป็นการสื่อสารที่ตอบ “ความตั้งใจ” (Search Intent) ของผู้ค้นหาได้อย่างแม่นยำที่สุด
สิ่งที่เปลี่ยนไปและไม่ควรมองข้าม:
- Featured Snippets และ AI Overviews แสดงคำตอบโดยไม่ต้องคลิกเว็บไซต์
- แพลตฟอร์มการค้นหานอก Google เช่น TikTok, YouTube, Reddit กลายเป็นแหล่งข้อมูลที่คนไทยใช้งานจริง
- หลักการ E-E-A-T และ UX คือปัจจัยใหม่ที่มีน้ำหนักต่อการจัดอันดับมากขึ้นกว่าคีย์เวิร์ดเพียงอย่างเดียว
- เนื้อหาที่ “รวดเร็ว เข้าใจง่าย เจาะลึก” คือมาตรฐานใหม่ของ SEO Content
- Visual, Voice และ Video Search คือโอกาสสำคัญในการเข้าถึงผู้ใช้ที่มากกว่าเดิม
ธุรกิจที่สามารถเข้าใจพฤติกรรมการค้นหา และตอบโจทย์ได้ตรงจุด จะกลายเป็นแบรนด์ที่ผู้คนเชื่อถือแม้ว่าในโลกที่ AI คัดเนื้อหาให้แล้วก็ตาม
XIII. คำถามที่พบบ่อย: เทรนด์การทำ SEO 2025
AI อย่าง Google Search Generative Experience (SGE) ส่งผลให้ผู้ใช้ได้รับคำตอบโดยตรงจากหน้า SERP โดยไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าเว็บไซต์ ส่งผลให้ CTR ลดลงและการแข่งขันด้านเนื้อหาสูงขึ้น ธุรกิจจึงควรปรับเนื้อหาให้มีความกระชับ ตรงประเด็น และใช้โครงสร้าง Q&A หรือ FAQ พร้อม Schema Markup เพื่อให้เนื้อหาถูกดึงไปแสดงใน AI Overviews ได้ง่ายขึ้น
Voice Search ส่งผลต่อ SEO โดยตรง เพราะผู้ใช้นิยมใช้คำถามเต็มประโยคมากกว่าคำสั้น ๆ ทำให้เว็บไซต์ต้องสร้างเนื้อหาที่ใช้ภาษาธรรมชาติและรองรับการค้นหาเชิงคำถาม เช่น การเพิ่ม FAQ ที่ตอบคำถามด้วยภาษาที่เป็นกันเอง พร้อมทั้งปรับเว็บไซต์ให้รองรับ Local SEO และความเร็วในการโหลดเพื่อตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว
ยังสำคัญมาก โดยเฉพาะในด้าน UX ที่ Google ใช้เป็นตัวชี้วัดคุณภาพของเว็บไซต์ Core Web Vitals อย่าง LCP, INP และ CLS ยังคงเป็นตัวแปรสำคัญต่อการจัดอันดับ เว็บไซต์ที่โหลดเร็ว ตอบสนองไว และมีความเสถียรในการแสดงผล จะมีโอกาสทำอันดับดีกว่าเว็บไซต์ที่ไม่สนใจประสบการณ์ของผู้ใช้งาน
มีผลในแง่ของการขยายช่องทางการค้นหา ผู้ใช้ในปัจจุบัน โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z นิยมใช้ TikTok และ YouTube เพื่อค้นหาข้อมูลแทน Google การทำ Video SEO และปรับเนื้อหาบนแพลตฟอร์มโซเชียลให้เหมาะกับการค้นหา จึงเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มการมองเห็นแบรนด์และขยายฐานผู้เข้าชมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Zero-Click Search คือการค้นหาที่ Google แสดงคำตอบให้ทันทีบนหน้า SERP โดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บไซต์ ซึ่งส่งผลให้จำนวนการเข้าชมเว็บลดลง ทางแก้คือการปรับเนื้อหาให้ตอบคำถามได้ในย่อหน้าแรก ใช้ H2/H3 เป็นคำถาม พร้อมใช้ Bullet Points หรือสรุปแบบตาราง และเพิ่ม Schema Markup เพื่อให้เนื้อหาถูกดึงไปแสดงใน Featured Snippets หรือ People Also Ask ได้ง่ายขึ้น
Visual Search เช่น Google Lens หรือ Pinterest Lens กำลังกลายเป็นช่องทางสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการค้นหาสินค้า แฟชั่น หรือของใช้ต่าง ๆ ผ่านภาพ การใส่ Alt Text ที่มีคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง ชื่อไฟล์ภาพที่สื่อความหมาย และการใช้ Structured Data สำหรับรูปภาพ จะช่วยให้เว็บไซต์รองรับ Visual Search ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จำเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะพฤติกรรมผู้ใช้งานเริ่มเปลี่ยนจากการพึ่งพา Google เพียงอย่างเดียวไปสู่การค้นหาบนแพลตฟอร์มเฉพาะทาง เช่น Reddit, Quora, YouTube, หรือ TikTok ธุรกิจควรปรับเนื้อหาให้เหมาะกับ Search Engine เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการทำคอนเทนต์ที่ตอบคำถามจริง หรือการใช้ Hashtags และ Metadata ที่ชัดเจนบนแพลตฟอร์มวิดีโอ
พร้อมส่งเสริมธุรกิจให้ทันตามเทรนด์การทำ SEO 2025 หรือยัง?
ทีมเอเจนซี่ของอินสไปราพร้อมช่วยวางแผน ปรับแต่ง และพัฒนาเว็บไซต์ของคุณให้พร้อมแข่งขันทั้งใน Google และ AI Search ตั้งแต่วันนี้ ปรึกษาทีม SEO ของเราแบบไม่มีค่าใช้จ่าย