I. ทำไม Orphan Pages มีความสำคัญกับเว็บไซต์ของคุณ
ความหมายของ Orphan Pages คือหน้าบนเว็บไซต์ที่ไม่มีลิงก์ภายในเชื่อมโยงมาหา ซึ่งหมายความว่าหน้าเหล่านี้ไม่ได้ถูกค้นพบผ่านการนำทางบนเว็บไซต์ คุณอาจมีบทความสำคัญหรือหน้าโปรโมชั่นที่ยอดเยี่ยม แต่ถ้าหน้านั้นเป็นหน้ากำพร้า โอกาสที่ผู้เยี่ยมชมและเครื่องมือค้นหาจะพบมันแทบไม่มีเลย
ตัวอย่างจริง: เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่สูญเสียโอกาสการขาย
ลองนึกดูว่าเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่กำลังเติบโต เพิ่มไลน์สินค้าใหม่ในช่วงเทศกาลอย่างเร่งรีบ แต่ในความวุ่นวาย ทีมงานไม่ได้ทำการเชื่อมโยงหน้าสินค้าใหม่เหล่านี้กับหมวดหมู่หลักหรือหน้าแรก ทำให้หน้าเหล่านี้กลายเป็นหน้าที่ถูกลืมได้
ผลที่เกิดขึ้น:
- ไม่มีลิงก์เชื่อมภายใน ทำให้เสิร์ชเอนจินไม่สามารถคลานหรือจัดทำดัชนีหน้าเหล่านี้ได้
- ลูกค้าไม่สามารถค้นหาสินค้าใหม่ได้
- แม้ว่าจะลงทุนโฆษณาแบบเสียเงิน แต่ไม่สามารถเพิ่ม organic traffic ไปที่หน้าสินค้านั้นได้
เมื่อทีมงานระบุปัญหาและสร้างลิงก์เชื่อมโยงหน้าเหล่านี้กับโครงสร้างหลักของเว็บไซต์ ผลลัพธ์ที่ได้คือ organic traffic เพิ่มขึ้น 15% ภายในไม่กี่สัปดาห์
ต้นทุนที่ซ่อนอยู่ของ Orphan Pages
หน้ากำพร้า ไม่เพียงส่งผลต่อการมองเห็นในผลการค้นหา แต่ยังส่งผลกระทบต่อรายได้โดยตรง
- หากเป็นบทความในบล็อกที่ออกแบบมาเพื่อดึงลูกค้า แต่ไม่มีลิงก์ภายใน ลูกค้าก็ไม่สามารถเข้าถึงได้
- หากเป็นหน้าสินค้าที่ตั้งใจขาย แต่ถูกแยกออกจากโครงสร้างหลัก หน้านั้นก็ไม่สามารถสร้างยอดขายได้
ดังนั้น การระบุและแก้ไขหน้ากำพร้าจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเว็บไซต์ที่จริงจังกับ SEO และต้องการเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจอย่างยั่งยืน
II. Orphan Pages คืออะไร?
A. ความหมายของหน้ากำพร้า
หน้ากำพร้า คือหน้าบนเว็บไซต์ที่ไม่มีลิงก์ภายในใด ๆ เชื่อมโยงมาหา ทำให้หน้าเหล่านี้ไม่สามารถถูกค้นพบผ่านการนำทางปกติของเว็บไซต์ได้ ลองนึกถึงห้องในบ้านที่ไม่มีประตูเข้าไป – ไม่มีทางที่ใครจะเจอหรือใช้งานห้องนั้นได้
อีกทั้ง จะมีความแตกต่างจากหน้าที่ไม่ได้รับการปรับแต่ง SEO ตรงที่ไม่ได้ปรากฏในโครงสร้างการนำทางของเว็บไซต์เลย แม้จะมีเนื้อหาที่ดีหรือสำคัญแค่ไหน หน้าเหล่านี้ก็ยังถูกมองข้ามทั้งจากผู้ใช้และเครื่องมือค้นหา
B. ทำไมเสิร์ชเอนจินถึงมีปัญหากับหน้ากำพร้า
เสิร์ชเอนจินอย่าง Google ใช้ลิงก์ภายในเป็นเส้นทางหลักในการไต่ (crawl) ดังนั้น การทำ Technical SEO จึงมีความสำคัญด้วยเช่นกัน เพราะเว็บไซต์เพื่อค้นหาและจัดทำดัชนี (index) เนื้อหาใหม่ ๆ หากหน้าเว็บไม่มีลิงก์ใด ๆ ที่เชื่อมโยงมาหาเหมือนอยู่ในจุดที่เสิร์ชเอนจินไม่สามารถเข้าถึงได้
ปัญหาที่ตามมา:
- การจัดทำดัชนีที่ไม่ครบถ้วน: หน้าสำคัญอาจไม่ได้รับการจัดทำดัชนีเลย ทำให้เนื้อหานั้นสูญเสียโอกาสในการแสดงผลบน Google
- เสียโอกาสใน SEO: การไม่มีลิงก์ภายในหมายความว่า Link Equity หรืออำนาจของลิงก์จะไม่ถูกแจกจ่ายมายังหน้าเหล่านี้ ส่งผลให้พวกมันไม่สามารถแข่งขันในอันดับการค้นหาได้
ตัวอย่าง:
เว็บไซต์ข่าวที่เผยแพร่บทความเชิงลึกเกี่ยวกับหัวข้อที่กำลังเป็นกระแส หากบทความนี้กลายเป็นหน้ากำพร้าเนื่องจากขาดลิงก์จากหน้าแรกหรือหมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง ผู้ใช้และ Google จะไม่สามารถค้นพบมัน ส่งผลให้บทความดังกล่าวไม่ถูกจัดอันดับและสูญเสียการเข้าชมที่ควรจะได้
III. ทำไม Orphan Pages ถึงเป็นปัญหาสำหรับ SEO
หน้ากำพร้าไม่ได้เป็นเพียงหน้าที่ถูกลืม แต่ยังเป็นปัญหาสำคัญที่สามารถทำลายประสิทธิภาพ SEO ของเว็บไซต์คุณได้ ต่อไปนี้คือผลกระทบหลักที่เกิดจาก:
A. ปัญหาการไต่และการจัดทำดัชนี
การไม่มีลิงก์ภายในเชื่อมโยง (Internal Linking) ไปยังหน้าที่ถูกซ่อนอยู่ สามารถส่งผลให้เกิดปัญหาสำคัญ 2 ปัจจัย:
- เครื่องมือค้นหาอาจไม่เคยไต่หรือจัดทำดัชนีหน้าเหล่านั้นเลย
เสิร์ชเอนจินใช้ลิงก์ภายในเพื่อนำทางและค้นหาเนื้อหาใหม่ หากไม่มีเส้นทางลิงก์ที่เชื่อมโยงหน้าเหล่านั้นจะถูกละเลยโดยสิ้นเชิง ไม่ปรากฏในผลการค้นหา และไม่สามารถเข้าถึงได้ทั้งโดยผู้ใช้และเครื่องมือค้นหา - การใช้ทรัพยากรการ crawl ที่ไม่มีประสิทธิภาพ
เว็บไซต์ขนาดใหญ่มีจำนวนหน้ามาก และงบประมาณการไต่ของ Google ก็มีจำกัด หากหน้ากำพร้าไม่ได้ถูกค้นพบ นั่นหมายความว่าทรัพยากรที่ใช้ในการไต่เว็บไซต์ไม่ได้ถูกใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
B. การมองเห็นเนื้อหาลดลง
ถึงแม้ว่าหน้ากำพร้าจะถูกไต่และจัดทำดัชนีได้ แต่ก็ยังเผชิญกับอีกหนึ่งอุปสรรค: อันดับในผลการค้นหาที่ต่ำ เนื่องจากขาด Link Equity หรืออำนาจของลิงก์ภายในที่ช่วยผลักดันอันดับในผลการค้นหา
ปัญหาที่ตามมา:
- ไม่มีการสนับสนุนจากลิงก์ภายใน: หน้าที่ถูกลืมไม่ได้รับการเสริมพลังจากหน้าที่มีอำนาจสูง ส่งผลให้หน้าเหล่านี้จัดอันดับได้ยากแม้จะมีเนื้อหาคุณภาพดี
- โอกาสในการแข่งขันน้อยลง: คีย์เวิร์ดเป้าหมายที่หน้าเหล่านี้ตั้งใจแข่งขันจะไม่สามารถแสดงประสิทธิภาพได้เต็มที่
ตัวอย่าง:
สมมติว่าคุณมีบทความเกี่ยวกับเทรนด์ SEO ล่าสุดที่เป็นเนื้อหาคุณภาพสูง หากบทความนี้ไม่มีลิงก์จากหน้าอื่นบนเว็บไซต์ Google อาจจัดอันดับได้ต่ำหรือไม่จัดอันดับเลย เนื่องจากไม่ได้รับการสนับสนุนจากลิงก์ภายในที่มีอำนาจ
C. โครงสร้างเว็บไซต์ที่เสียหาย
โครงสร้างเว็บไซต์เปรียบเสมือนโครงกระดูกของเว็บไซต์ที่ช่วยให้ทุกหน้าเชื่อมโยงถึงกันอย่างเป็นระบบ เมื่อโครงสร้างนี้เสียหาย หรือมี หน้าเว็บที่ถูกลืมแทรกอยู่ในระบบ มันจะส่งผลเสียต่อการนำทางของผู้ใช้และการจัดอันดับในผลการค้นหาอย่างมาก
D. สูญเสียโอกาสในการกระจาย Link Equity
Link Equity หรืออำนาจของลิงก์ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้หน้าเว็บมีโอกาสจัดอันดับได้ดีในผลการค้นหา ลิงก์ภายในไม่เพียงแต่ช่วยให้เครื่องมือค้นหาสามารถไต่และจัดทำดัชนีหน้าเว็บได้ แต่ยังช่วยส่งต่อ “พลัง” หรืออำนาจจากหน้าหนึ่งไปยังอีกหน้าหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม Orphan Pages ซึ่งไม่มีลิงก์ภายในใด ๆ เชื่อมโยงมาหา จะไม่ได้รับ Link Equity นี้ ส่งผลให้หน้าเหล่านั้นเสียเปรียบในการแข่งขัน SEO
ผลกระทบที่ชัดเจน:
- ไม่มีการกระจาย Link Equity:
หน้าที่ไม่มีลิงก์ภายในจะไม่ได้รับอำนาจจากหน้าที่มีอันดับสูงกว่า ส่งผลให้ศักยภาพในการจัดอันดับของหน้า นั้น ๆ ลดลงอย่างมาก - ศักยภาพในการจัดอันดับต่ำ:
แม้ว่าหน้าที่ถูกลืมจะมีเนื้อหาคุณภาพสูง แต่หากขาด Link Equity พวกมันก็จะไม่สามารถแข่งขันในผลการค้นหาสำหรับคีย์เวิร์ดสำคัญได้
ตัวอย่าง:
เว็บไซต์ข่าวที่มีบทความยอดนิยมอยู่ในหน้าแรก อาจช่วยส่งเสริมอันดับของบทความอื่น ๆ ผ่านการเชื่อมโยงภายใน แต่หากบทความใดกลายเป็นหน้าที่ถูกลืมเนื่องจากไม่มีลิงก์กลับมา มันจะไม่ได้รับ Link Equity จากบทความยอดนิยมนั้น ทำให้พลาดโอกาสในการปรากฏในอันดับต้น ๆ ของผลการค้นหา
วิธีแก้ไข:
- เพิ่มลิงก์ภายในจากหน้าที่มีทราฟฟิกสูงไปยังหน้าที่ถูกมองข้ามเพื่อกระจาย Link Equity
- ใช้ลิงก์จากบทความหรือหน้าหลักที่มีความเกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับหน้าเหล่านั้น
IV: วิธีการระบุหน้า Orphan Pages
การค้นหาและแก้ไขหน้ากำพร้าเป็นขั้นตอนสำคัญในการปรับปรุง SEO ของเว็บไซต์ ต่อไปนี้คือวิธีที่คุณสามารถใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อระบุหน้าที่ซ่อนอยู่เหล่านี้:
A. การใช้ Google Search Console
Google Search Console เป็นเครื่องมือฟรีที่ทรงพลังสำหรับการวิเคราะห์เว็บไซต์ โดยเฉพาะการระบุหน้าที่ถูกลืมซึ่งคุณสามารถทำได้ดังนี้:
- เข้าถึงรายงาน Coverage Report: ใน Google Search Console ไปที่เมนู Coverage เพื่อดูรายการหน้าที่จัดทำดัชนีและหน้าที่ถูกยกเว้น
- ตรวจสอบหน้าที่ถูกยกเว้น (Excluded Pages): เลือกแท็บ Excluded เพื่อค้นหาหน้าต่าง ๆ ที่ Google ไม่ได้จัดทำดัชนี หน้าบางหน้าอาจเป็นหน้ากำพร้าเพราะขาดกการทำลิงก์เชื่อมโยงภายในไปหน้านั้น ๆ ไม่มีลิงก์ภายในที่เชื่อมโยงไปหา
- วิเคราะห์รายละเอียด (Analyze Details): คลิกที่หน้าที่ถูกยกเว้นเพื่อดูสาเหตุ เช่น “Page with redirect” หรือ “Crawled – currently not indexed” หน้าที่มีข้อความ “Discovered – currently not indexed” อาจเป็น Orphan Pages ที่ไม่มีลิงก์ภายใน
B. การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล
เครื่องมือวิเคราะห์ เช่น Google Analytics สามารถช่วยระบุหน้าเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยดูจากหน้าที่มีทราฟฟิกต่ำหรือไม่มีทราฟฟิกเลย:
- Google Analytics: ใช้รายงาน Behavior และดู All Pages เพื่อตรวจสอบหน้าที่ไม่ได้รับทราฟฟิก หากหน้าที่มีคุณค่าไม่ได้รับทราฟฟิก นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าเป็น Orphan Page
- เครื่องมือวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพอื่น ๆ: Ahrefs หรือ SEMrush สำหรับการวิเคราะห์ทราฟฟิกและการไต่ของเครื่องมือค้นหา
C. การใช้ Site Crawlers
Site Crawlers เป็นเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อสำรวจทุกหน้าในเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งสามารถช่วยระบุ ได้อย่างรวดเร็ว:
- Screaming Frog SEO Spider: เครื่องมือนี้สามารถคลานทั้งเว็บไซต์ของคุณและเปรียบเทียบโครงสร้างลิงก์ภายในกับหน้าทั้งหมด หากพบหน้าที่ไม่มีลิงก์ภายใน นั่นคือหน้ากำพร้า
- Sitebulb: มีคุณสมบัติการวิเคราะห์ขั้นสูงสำหรับการระบุหน้ากำพร้าโดยแสดงรายงานที่แยกหน้าต่าง ๆ ตามสถานะลิงก์
วิธีการทำงาน:
พิมพ์ URL เว็บไซต์ของคุณลงใน Site Crawler เปรียบเทียบหน้าที่ปรากฏในรายงานกับหน้าที่ระบุใน XML Sitemap หากพบหน้าที่ไม่มีลิงก์จากหน้าอื่น ๆ หรือไม่มีใน Sitemap หน้านั้นอาจเป็น Orphan Page
อ่านบทความ ตั้งชื่อ URL ให้ SEO และวิธีปรับปรุงเพื่อผลลัพธ์การจัดอันดับสูงสุด
D. การเปรียบเทียบกับ Sitemap
XML Sitemap เป็นแผนผังเว็บไซต์ที่ช่วยให้เครื่องมือค้นหาทราบถึงหน้าทั้งหมดที่ควรได้รับการจัดทำดัชนี การเปรียบเทียบ Sitemap กับหน้าที่เครื่องมือค้นหาจัดทำดัชนีจริง ๆ ช่วยให้คุณสามารถระบุหน้าที่ถูกมองข้ามได้ง่ายขึ้น
ขั้นตอน:
- สร้างและตรวจสอบ Sitemap: ตรวจสอบว่า Sitemap ของคุณมีหน้าทั้งหมดที่ควรได้รับการจัดทำดัชนี รวมถึงหน้าที่สำคัญอย่างหน้าโปรโมชันหรือเนื้อหาใหม่
- เปรียบเทียบ Sitemap กับรายงาน Coverage ใน Google Search Console: หากหน้าที่อยู่ใน Sitemap แต่ไม่อยู่ในรายงาน Coverage นั่นอาจเป็นหน้าที่ถูกลืม
- ใช้ Site Crawlers: เครื่องมือเช่น Screaming Frog หรือ Sitebulb สามารถช่วยวิเคราะห์ว่า Sitemap ของคุณสอดคล้องกับโครงสร้างลิงก์ภายในหรือไม่
ขอมูลเชิงลึก: OnCrawl
OnCrawl ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือ Site Crawler ชั้นนำ ได้แชร์ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับ Orphan Pages โดยแนะนำว่าการเปรียบเทียบ Sitemap กับข้อมูลที่รวบรวมจาก Log File Analysis จะช่วยระบุหน้าเหล่านั้นได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
ประโยชน์ที่สำคัญ:
- ข้อมูลที่ครอบคลุม: OnCrawl ระบุว่าการเปรียบเทียบระหว่าง Sitemap, Log Files และโครงสร้างลิงก์ภายในสามารถช่วยระบุหน้าเว็บที่ถูกละเลยในทุกมิติ
- เพิ่มความแม่นยำ: การใช้ Log Files จะช่วยให้คุณเห็นว่ามีหน้าที่เสิร์ชเอนจินพยายามไต่หรือไม่ แต่ยังไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างสมบูรณ์
คำแนะนำจาก OnCrawl:
เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ควรปรับปรุง Sitemap และใช้ข้อมูลจากการวิเคราะห์ Log Files ควบคู่กับ Site Crawlers เพื่อตรวจสอบว่าไม่มีหน้าที่สำคัญตกหล่นจากโครงสร้างเว็บไซต์
V. วิธีการแก้ไข Orphan Pages
การแก้ไขหน้าเหล่านี้เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของ SEO ได้เต็มที่ โดยการนำหน้าเหล่านี้กลับมาเชื่อมโยงกับโครงสร้างเว็บไซต์อย่างเหมาะสมจะช่วยเพิ่มการมองเห็นในผลการค้นหา
A. การนำกลับมาโดยเชื่อมโยงลิงก์ภายใน
การเชื่อมโยงภายในเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาหน้ากำพร้าโดยการสร้างลิงก์จากหน้าที่มีทราฟฟิกสูงไปยังหน้าเว็บเหล่านั้น
ขั้นตอนการเชื่อมโยงใหม่:
- ระบุหน้าที่เกี่ยวข้อง: ค้นหาหน้าเว็บที่เนื้อหาเกี่ยวข้องกับหน้าที่ถูกมองข้าม
- เพิ่มลิงก์จากหน้าเหล่านั้น: ใช้คำที่เป็นคีย์เวิร์ดใน Anchor Text เพื่อสร้างลิงก์ที่มีประสิทธิภาพ
- ตรวจสอบผลลัพธ์: ใช้ Google Search Console หรือ Site Crawlers เพื่อตรวจสอบว่าลิงก์เหล่านี้ช่วยให้หน้าได้รับการจัดทำดัชนีหรือไม่
ตัวอย่าง:
หากหน้ากำพร้าเป็นบทความเกี่ยวกับเทคนิค SEO ใหม่ คุณสามารถเพิ่มลิงก์จากบทความ SEO ที่มีอยู่แล้วในเว็บไซต์
B. ปรับปรุงโครงสร้างการนำทางของเว็บ
การเพิ่มลิงก์ไปยังหน้าที่ถูกลืมผ่านองค์ประกอบการนำทาง เช่น เมนู, Breadcrumbs, หรือ Footer จะช่วยให้ผู้ใช้และเครื่องมือค้นหาสามารถเข้าถึงหน้าเหล่านั้นได้ง่ายขึ้น
Tip:
- เพิ่มลิงก์ไปยังหน้าที่ถูกลืมในเมนูหลักหรือเมนูย่อย
- ใช้ Breadcrumbs เพื่อเชื่อมโยงกลับไปยังหน้าแม่
C. ส่งและอัปเดต Sitemaps
การรวมหน้ากำพร้าลงใน XML Sitemap และส่ง Sitemap ที่อัปเดตให้กับ Google ช่วยให้เสิร์ชเอนจินสามารถค้นหาและจัดทำดัชนีหน้าเหล่านั้นได้ง่ายขึ้น
ขั้นตอน:
- อัปเดต Sitemap เพื่อรวมหน้าเว็บที่ถูกลืม
- ส่ง Sitemap ใหม่ผ่าน Google Search Console
- ติดตามสถานะการจัดทำดัชนีผ่านรายงาน Coverage
D. ประเมินคุณค่าของเนื้อหา
ไม่ใช่ทุกหน้ากำพร้าจะมีคุณค่าที่ต้องเก็บไว้ คุณควรพิจารณาเนื้อหาของแต่ละหน้าและตัดสินใจดังนี้:
- หากเนื้อหามีคุณค่า: เชื่อมโยงกลับเข้าโครงสร้างเว็บไซต์ผ่านลิงก์ภายในหรือการนำทาง
- หากเนื้อหาไม่สำคัญ: พิจารณารวมเนื้อหากับหน้าอื่น หรือแม้กระทั่งลบเนื้อหาหรือหน้านั้นออกไป
คำแนะนำ:
เนื้อหาที่ล้าสมัยหรือไม่มีประโยชน์อาจทำให้ประสิทธิภาพของเว็บไซต์ลดลง คุณควรเน้นที่การสร้างมูลค่าจากทุกหน้าที่จัดทำดัชนี
อ่านบทความ กลยุทธ์การตลาดเนื้อหา B2B เพื่อความสำเร็จในทุกแคมเปญ
E. ใช้ระบบอัตโนมัติสำหรับเว็บไซต์ขนาดใหญ่
สำหรับเว็บไซต์ขนาดใหญ่ที่มีหลายพันหน้า การแก้ไข Orphan Pages ด้วยมืออาจใช้เวลานานเกินไป การใช้ระบบอัตโนมัติจึงเป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพ เช่น:
- ปลั๊กอิน WordPress เช่น Yoast SEO หรือ Rank Math: ช่วยในการจัดการลิงก์ภายในและอัปเดต Sitemap อัตโนมัติ
- เครื่องมือ Site Crawlers เช่น Screaming Frog และ Sitebulb: สามารถตั้งค่าการวิเคราะห์และสร้างรายงาน ได้โดยอัตโนมัติ
- OnCrawl และ Botify: ช่วยในการรวมข้อมูลจาก Log File และ Sitemap เพื่อค้นหาและแก้ไขหน้าเว็บอย่างแม่นยำ
การแก้ไขหน้าเหล่านี้อย่างเป็นระบบช่วยเพิ่มการมองเห็นเนื้อหา ปรับปรุง SEO และทำให้เว็บไซต์ของคุณมีประสิทธิภาพสูงสุด
VI. วิธีป้องกัน Orphan Pages ในอนาคต
การป้องกันหน้าเว็บที่ถูกลืมไม่เพียงช่วยรักษาประสิทธิภาพ SEO ของเว็บไซต์ แต่ยังช่วยให้โครงสร้างของเว็บไซต์มีความสมบูรณ์มากขึ้น ขั้นตอนต่อไปนี้จึงมีสำคัญและสามารถนำไปใช้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคต:
A. ดำเนินการตรวจสอบ SEO อย่างสม่ำเสมอ
การตรวจสอบ SEO อย่างต่อเนื่องช่วยให้คุณสามารถระบุปัญหาก่อนที่มันจะส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์
เครื่องมือสำหรับการตรวจสอบ:
- Screaming Frog SEO Spider: ช่วยให้คุณสแกนทั้งเว็บไซต์เพื่อระบุหน้าที่ไม่มีลิงก์ภายในหรือไม่ได้อยู่ในโครงสร้าง Sitemap
- Ahrefs หรือ SEMrush: ใช้สำหรับการวิเคราะห์ลิงก์ภายในและการทำ SEO Audit เพื่อค้นหาหน้าเหล่านั้น และตรวจสอบประสิทธิภาพของลิงก์
- Google Search Console: รายงาน Coverage และการแจ้งเตือนปัญหาช่วยให้คุณทราบถึงสถานะการจัดทำดัชนีของหน้าเว็บต่าง ๆ
แนวทางที่แนะนำ:
ตั้งรอบการตรวจสอบ SEO อย่างน้อยทุก 3-6 เดือนเพื่อป้องกัน Orphan Pages และแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
B. รักษากลยุทธ์การเชื่อมโยงลิงก์ภายในที่แข็งแกร่ง
Internal Links เป็นส่วนสำคัญในการป้องกันหน้ากำพร้าโดยช่วยให้ทุกหน้าของคุณเชื่อมโยงเข้ากับโครงสร้างเว็บไซต์
แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับลิงก์ภายใน:
- ใช้ Content Hubs: สร้างกลุ่มเนื้อหาที่เชื่อมโยงกันโดยมีหน้าแกนกลาง เช่น บทความหลักที่ลิงก์ไปยังบทความย่อย ทำให้ทุกหน้ามีลิงก์ที่เชื่อมโยงกันอย่างสมเหตุสมผล
- ใช้ Anchor Text อย่างมีประสิทธิภาพ: ใช้คำที่เกี่ยวข้องและคีย์เวิร์ดใน Anchor Text เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของลิงก์และช่วยให้เครื่องมือค้นหาทำความเข้าใจเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น
- ระบบอัตโนมัติสำหรับลิงก์ภายใน: สำหรับเว็บไซต์ขนาดใหญ่ ใช้ปลั๊กอินหรือเครื่องมืออัตโนมัติ เช่น Yoast SEO หรือ Rank Math เพื่อสร้างและจัดการลิงก์ภายในอย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่าง:
ทุกครั้งที่คุณเพิ่มเนื้อหาใหม่ เช่น บทความหรือหน้าผลิตภัณฑ์ใหม่ ระบบอัตโนมัติจะช่วยสร้างลิงก์จากหน้าอื่นที่เกี่ยวข้องโดยอัตโนมัติ
การป้องกันหน้าที่ถูกลืมคือ เริ่มต้นด้วยการวางกลยุทธ์ที่ดี ตั้งแต่การตรวจสอบ SEO อย่างสม่ำเสมอไปจนถึงการสร้างระบบการเชื่อมโยงภายในที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีประสิทธิภาพและพร้อมแข่งขันบนผลการค้นหา
C. อัปเดต Sitemap อัตโนมัติ
การอัปเดต XML Sitemap อย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้เครื่องมือค้นหาสามารถค้นพบเนื้อหาใหม่หรือที่ได้รับการปรับปรุงได้
ขั้นตอนการดำเนินการ:
- ตั้งค่าการอัปเดตอัตโนมัติ:
ใช้เครื่องมือหรือปลั๊กอินที่สามารถสร้างและอัปเดต Sitemap ได้อัตโนมัติ เช่น Yoast SEO หรือ Rank Math สำหรับ WordPress - เชื่อมต่อกับ Google Search Console:
ส่ง Sitemap ที่อัปเดตไปยัง Google Search Console เพื่อให้ Google ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างเว็บไซต์ทันที - ตรวจสอบ Sitemap เป็นประจำ:
ตรวจสอบว่า Sitemap รวมทุกหน้าสำคัญ และไม่มีหน้าที่ไม่ต้องการ เช่น หน้า 404 หรือหน้าที่ไม่ได้ใช้งาน
D. ใช้เครื่องมือ CMS สำหรับการติดตามลิงก์
ระบบจัดการเนื้อหา (CMS) มีเครื่องมือที่ช่วยในการตรวจสอบลิงก์ภายในและจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างเครื่องมือ:
- ปลั๊กอิน WordPress:
- Yoast SEO Premium: ช่วยตรวจสอบลิงก์ภายในและแนะนำลิงก์ที่เกี่ยวข้อง
- Link Whisper: ปลั๊กอินที่ช่วยสร้างลิงก์ภายในโดยอัตโนมัติและแสดงรายงานลิงก์ที่ขาดหายไป
- Enterprise CMS Solutions:
- Adobe Experience Manager (AEM): ให้ฟีเจอร์การจัดการลิงก์และ Sitemap แบบบูรณาการ
- Sitecore: มีเครื่องมือสำหรับตรวจสอบลิงก์ภายในและปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์
E. สร้างขั้นตอนการจัดการเนื้อหาที่ชัดเจน
การมีกระบวนการทำงานที่ชัดเจนช่วยป้องกันการเกิด Orphan Pages ตั้งแต่เริ่มต้น
รายการตรวจสอบสำหรับเนื้อหาใหม่:
- ตรวจสอบการเชื่อมโยงภายใน: ทุกครั้งที่เพิ่มเนื้อหาใหม่ ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีลิงก์จากหน้าที่เกี่ยวข้องหรือ Content Hubs
- เพิ่มหน้าใน Sitemap: รวมหน้าใหม่ใน Sitemap และส่งไปยัง Google Search Console
- ตั้งค่าระบบการติดตาม:
ใช้เครื่องมือ CMS หรือปลั๊กอินเพื่อตรวจสอบว่าหน้าใหม่ได้รับลิงก์ภายในที่เพียงพอ - รีวิวลิงก์ก่อนเผยแพร่: ใช้ระบบตรวจสอบลิงก์เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีลิงก์ขาดหายหรือเชื่อมโยงผิด
ด้วยการใช้เครื่องมือ CMS และการตั้งค่าระบบอัตโนมัติสำหรับ Sitemap รวมถึงการมีกระบวนการทำงานที่ชัดเจน คุณสามารถลดความเสี่ยงในการเกิด Orphan Pages และทำให้เว็บไซต์ของคุณมีประสิทธิภาพสูงสุด
VII. เครื่องมือสำหรับระบุและแก้ไข Orphan Pages
การระบุและแก้ไขหน้าเว็บที่ถูกลืมต้องอาศัยเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการวิเคราะห์และตรวจสอบโครงสร้างเว็บไซต์ ทั้งเครื่องมือฟรีและแบบชำระเงินมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้คุณจัดการปัญหาได้อย่างครอบคลุม
A. เครื่องมือฟรี สำหรับการระบุ Orphan Page
1. Google Search Console
Google Search Console เป็นเครื่องมือฟรีที่ช่วยให้คุณตรวจสอบสถานะการจัดทำดัชนีและปัญหา
วิธีการใช้งาน:
- เข้าสู่เมนู Coverage และเลือกแท็บ Excluded
- ตรวจสอบหน้าที่มีข้อความ “Discovered – currently not indexed” หรือ “Crawled – currently not indexed”
- หน้าที่ไม่มีลิงก์ภายในมักจะตกอยู่ในหมวดนี้
ประโยชน์:
ช่วยให้คุณระบุหน้าที่ Google พบแต่ไม่ได้จัดทำดัชนี ซึ่งอาจเป็นหน้าที่ถูกมองข้ามไป
2. Google Analytics
Google Analytics ช่วยวิเคราะห์ทราฟฟิกของหน้าเว็บ และระบุหน้าที่ไม่มีผู้เยี่ยมชม ซึ่งเป็นสัญญาณของหน้าที่ถูกมองข้าม
วิธีการใช้งาน:
- ไปที่เมนู Behavior > Site Content > All Pages
- ค้นหาหน้าที่มีทราฟฟิกเป็นศูนย์หรือมีทราฟฟิกต่ำผิดปกติ
- ตรวจสอบว่าหน้าเหล่านี้มีลิงก์ภายในหรือไม่
ประโยชน์:
ช่วยระบุหน้าเว็บที่ไม่ได้รับการเข้าชม และมีโอกาสสูงที่จะเป็นหน้าที่ถูกมองข้าม
B. เครื่องมือที่มีค่าใช้จ่ายสำหรับการตรวจสอบเว็บไซต์อย่างครอบคลุม
1. Screaming Frog SEO Spider
เครื่องมือ Site Crawler ที่ทรงพลังสำหรับการระบุหน้ากำพร้าและปัญหา SEO อื่น ๆ
คุณสมบัติเด่น:
- สแกนโครงสร้างเว็บไซต์ทั้งหมดเพื่อระบุหน้าที่ไม่มีลิงก์ภายใน
- แสดงรายงานการเชื่อมโยงภายSitemap
2. Ahrefs และ SEMrush
เครื่องมือ SEO แบบครบวงจรที่มีฟีเจอร์ Site Audit สำหรับตรวจสอบ
คุณสมบัติ:
- Ahrefs: ช่วยวิเคราะห์โครงสร้างลิงก์และระบุหน้าเว็บที่ไม่มีลิงก์ภายใน
- SEMrush: มีรายงาน Site Audit ที่แสดงหน้าที่มีปัญหาในการเชื่อมโยง
3. Sitebulb
Sitebulb นำเสนอการวิเคราะห์เชิงลึกโดยเน้นความง่ายในการแสดงผล
คุณสมบัติเด่น:
- แสดงกราฟและรายงานที่ชัดเจน
- เปรียบเทียบข้อมูล Sitemap กับหน้าที่ Google จัดทำดัชนี
อ่านบทความ เครื่องมือ SEO ยอดนิยมสำหรับปี 2025
C. วิธีการใช้เครื่องมือร่วมกัน
การใช้เครื่องมือหลายตัวร่วมกันช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ครอบคลุมและแม่นยำมากขึ้น:
- Google Search Console: ระบุหน้าที่ถูกยกเว้นจากการจัดทำดัชนี
- Google Analytics: ตรวจสอบหน้าที่ไม่มีทราฟฟิกเพื่อระบุปัญหาที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้
- Screaming Frog หรือ Sitebulb: สแกนโครงสร้างเว็บไซต์และเปรียบเทียบกับ Sitemap
คำแนะนำ:
ใช้ข้อมูลจากทุกเครื่องมือเพื่อวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาหน้ากำพร้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณจะได้รับภาพรวมทั้งจากมุมมองของเครื่องมือค้นหาและพฤติกรรมผู้ใช้
การรวมพลังของเครื่องมือทั้งฟรีและแบบชำระเงินจะช่วยให้คุณสามารถระบุและแก้ไขได้อย่างสมบูรณ์
VII. กรณีศึกษา: ผลลัพธ์ที่แท้จริงจากการแก้ไข Orphan Pages
บางครั้งเราอาจมองข้ามศักยภาพของการจัดการหน้ากำพร้าจนกระทั่งเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน การค้นหาและแก้ไขหน้าที่ถูกตัดขาดจากโครงสร้างเว็บไซต์ไม่เพียงช่วยปรับปรุง SEO แต่ยังสามารถเปลี่ยนแปลงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ได้อย่างมาก
A. กรณีศึกษา 1: เพิ่ม organic traffic ให้กับแหล่งเนื้อหา
ปัญหา:
บล็อกเทคโนโลยีขนาดกลางที่เผยแพร่เนื้อหาอย่างสม่ำเสมอพบว่าจำนวนผู้เข้าชมเว็บแบบออร์แกนิคพวกเขาหยุดนิ่ง แม้ว่าจะเพิ่มบทความใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง การตรวจสอบเว็บไซต์พบว่ามี หน้ากำพร้า มากกว่า 100 หน้า ซึ่งรวมถึงบทความและทรัพยากรที่มีคุณค่า แต่ขาดการเชื่อมโยงภายใน
การแก้ไข:
ทีมงานดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว:
- เพิ่มลิงก์ภายในไปยังหน้ากำพร้า โดยเลือกบทความที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นจุดเชื่อมโยง
- เพิ่มหน้ากำพร้าในหมวดหมู่และส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น “บทความที่เกี่ยวข้อง”
- อัปเดต XML Sitemap และส่งไปยัง Google Search Console เพื่อกระตุ้นการจัดทำดัชนี
ผลลัพธ์:
ภายในสามเดือน ทราฟฟิกออร์แกนิกของเว็บไซต์เพิ่มขึ้น 30% หลายหน้าที่เคยเป็นหน้ากำพร้าไต่ขึ้นสู่หน้าแรกของผลการค้นหาสำหรับคีย์เวิร์ดเป้าหมาย แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของกลยุทธ์การเชื่อมโยงภายใน
B. กรณีศึกษา 2: เพิ่มยอดขายให้ E-Commerce
ปัญหา:
ร้านค้าออนไลน์ประสบปัญหายอดขายแบบออร์แกนิกลดลง หลังจากการปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์ใหม่ พบว่าหน้าสินค้าขายดีบางหน้าถูกจัดเก็บโดยไม่มีลิงก์ภายในหรือลิงก์การนำทางที่ชัดเจน แม้จะลงทุนในโฆษณาแบบเสียเงิน ยอดขายก็ยังไม่กระเตื้อง
การแก้ไข:
- เพิ่มหน้าสินค้ากำพร้าลงในหมวดหมู่หลักและแสดงในส่วน “สินค้าแนะนำ”
- สร้างบทความบล็อกที่เน้นประโยชน์ของสินค้าพร้อมลิงก์ไปยังหน้าสินค้าเหล่านั้น
- อัปเดตระบบ breadcrumbs และเมนูการนำทางเพื่อให้สินค้าค้นหาได้ง่ายขึ้น
ผลลัพธ์:
หลังการปรับปรุง ร้านค้าออนไลน์เห็นการเพิ่มขึ้นของ conversion ถึง 20% และอันดับการค้นหาของคีย์เวิร์ดสินค้าสำคัญดีขึ้นอย่างชัดเจน กลยุทธ์นี้ช่วยปรับปรุงทั้งประสบการณ์ผู้ใช้และ SEO
C. บทเรียนสำคัญ: สร้างศักยภาพของให้กับ Orphan Pages
หน้ากำพร้า มีศักยภาพซ่อนเร้นที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ได้ การแก้ไขปัญหาหน้าเหล่านี้ไม่เพียงช่วย SEO แต่ยังช่วยสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ เช่น
- การเพิ่มทราฟฟิก
- การปรับปรุงอันดับคีย์เวิร์ด
- การเพิ่มยอดขายและการแปลง
การเชื่อมโยงให้หน้าเหล่านี้กลับเข้าสู่โครงสร้างเว็บไซต์ช่วยให้เนื้อหามีบทบาทสำคัญต่อการดึงดูดทราฟฟิกและการสร้างผลลัพธ์เชิงธุรกิจ
IX. บทสรุป: อย่าปล่อยให้ Orphan Pages เป็นปัญหา
โดยสรุป ปัญหา Orphan Pages อาจเป็นตัวการที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณไม่สามารถแสดงศักยภาพได้เต็มที่ แต่ด้วยการระบุและแก้ไขอย่างถูกวิธี คุณสามารถนำเนื้อหาที่มีคุณค่ากลับมาในสายตาผู้ใช้และเครื่องมือค้นหาได้
ประเด็นสำคัญ:
- Orphan Pages คือหน้าที่ไม่มีลิงก์ภายในเชื่อมโยงมาหา ส่งผลให้หน้าเหล่านี้ยากต่อการค้นพบทั้งจากผู้ใช้และเครื่องมือค้นหา
- หน้ากำพร้าทำให้เว็บไซต์สูญเสียโอกาสในการจัดทำดัชนี การกระจาย Link Equity และการเพิ่มทราฟฟิก จึงมีผลกระทบที่สำคัญต่อ SEO โดยตรง
- เครื่องมือที่ควรใช้ในการระบุและแก้ไข: Google Search Console, Screaming Frog SEO Spider, Ahrefs และ SEMrush สำหรับการทำ Site Audit
ขั้นตอนต่อไป:
- เริ่มต้นวิเคราะห์เว็บไซต์ของคุณ: ใช้ Google Search Console และ Screaming Frog เพื่อตรวจสอบหน้าที่อาจเป็นหน้าที่ถูกมองข้าม
- ปรับปรุงลิงก์ภายใน: เพิ่มลิงก์จากหน้าที่มีทราฟฟิกสูง หรือเชื่อมโยงผ่านเมนูและ Breadcrumbs เพื่อให้ Orphan Pages กลับเข้าสู่โครงสร้างเว็บไซต์
- อัปเดตและส่ง Sitemap: ตรวจสอบว่าหน้ากำพร้าที่ได้รับการปรับปรุงรวมอยู่ใน Sitemap และส่งไปยัง Google Search Console
- ตั้งระบบอัตโนมัติ: ใช้ปลั๊กอินหรือเครื่องมือ CMS เพื่อช่วยจัดการลิงก์ภายในและอัปเดต Sitemap อย่างต่อเนื่อง
ที่ Inspira Agency เรามีบริการรับทำ SEO และพร้อมช่วยธุรกิจของคุณด้วยกลยุทธ์ที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อเพิ่มการมองเห็นในผลการค้นหาและการเพิ่ม traffic ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คือหน้าบนเว็บไซต์ที่ไม่มีลิงก์ภายในเชื่อมโยงมาหา ซึ่งหมายความว่าหน้าเหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงได้ผ่านการนำทางปกติของเว็บไซต์ แม้จะสามารถเข้าถึงได้โดยตรงผ่าน URL แต่ผู้ใช้และเครื่องมือค้นหามักไม่พบหน้าเหล่านี้
สามารถส่งผลกระทบต่อ SEO ในหลายด้าน เช่น
ขาดการจัดทำดัชนี – หน้าเหล่านี้อาจไม่ได้รับการจัดทำดัชนีโดยเครื่องมือค้นหา
สูญเสีย Link Equity – ไม่มีการถ่ายโอนอำนาจลิงก์จากหน้าอื่น ทำให้ศักยภาพในการจัดอันดับต่ำ
ผู้ใช้ไม่ได้รับประสบการณ์ที่ดี – ผู้ใช้ไม่สามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้ ส่งผลต่อ Engagement และ Bounce Rate
มักเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น:
การลืมเชื่อมโยงลิงก์ภายใน – เมื่อเพิ่มหน้าใหม่แต่ลืมเพิ่มลิงก์จากหน้าอื่น
การปรับโครงสร้างเว็บไซต์ – บางหน้าถูกลบออกจากเมนูหรือลิงก์ภายในระหว่างการปรับปรุง
การลบลิงก์โดยไม่ได้ตั้งใจ – อาจเกิดจากความผิดพลาดในการแก้ไขเนื้อหา
การเข้าใจปัญหาและรู้ถึงวิธีป้องกัน จะช่วยให้คุณสามารถจัดการเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรักษาศักยภาพ SEO ของเว็บไซต์
ตรวจสอบเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ – ทำ SEO Audit เป็นประจำเพื่อค้นหาช่องว่างของการเชื่อมโยงภายใน
วางกลยุทธ์ลิงก์ภายในที่แข็งแกร่ง – เชื่อมโยงหน้าทั้งหมดให้มีความสัมพันธ์กัน โดยเน้นการสร้างลิงก์จากเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
ลิงก์ไปยังหน้าใหม่ทันทีที่เผยแพร่ – เมื่อสร้างหน้าใหม่ ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีลิงก์จากหน้าที่เกี่ยวข้องหรือหมวดหมู่ที่เหมาะสม
อัปเดต Sitemap อย่างสม่ำเสมอ – ใช้ CMS หรือเครื่องมืออัตโนมัติในการอัปเดต Sitemap เพื่อให้เสิร์ชเอนจินเข้าถึงหน้าใหม่ได้ทันที