Technical SEO คืออะไร เพื่อปรับปรุงการค้นหาขั้นสูงอย่างมีประสิทธิภาพ

Technical SEO คืออะไร

Table of Contents

ปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เว็บไซต์ประสบความสำเร็จด้านการจัดอันดับการค้นหา หากแม้คุณจะมีเนื้อหาที่น่าสนใจและ Backlinks ที่มีคุณภาพสูง แต่อาจยังไม่เพียงพอถ้าหากเครื่องมือค้นหาไม่สามารถเข้าถึงดัชนี หรือเข้าใจเว็บไซต์ของคุณได้อย่างถูกต้อง บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่า Technical SEO คืออะไร ทำงานอย่างไร พร้อมกลยุทธ์ที่เข้าใจง่ายเพื่อนำไปใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์ของคุณและเพิ่มความได้เปรียบบนอันดับการค้นหา

ความหมายของการปรับปรุงเทคนิค SEO

Technical SEO คืออะไร

การทำ Technical SEO คืออะไร คำตอบคือการปรับปรุงทางด้านเทคนิคซึ่งหมายถึงกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานของเว็บไซต์เพื่อช่วยให้เครื่องมือค้นหาสามารถเข้าถึง ดัชนี และตีความเนื้อหาของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ แตกต่างจากการทำ On-Page SEO ที่เน้นคีย์เวิร์ดและเนื้อหา หรือ Off-Page SEO ที่มุ่งเน้นที่ลิงก์และสัญญาณจากสื่อโซเชียล การปรับปรุงเทคนิค SEO นั้นจะเน้นไปที่ด้านเทคโนโลยีพื้นฐานของเว็บไซต์

ลองเปรียบเทียบเว็บไซต์ก็เหมือนบ้านของคุณ เนื้อหา การออกแบบเป็นเหมือนการตกแต่ง แต่การปรับปรุงเทคนิค SEO คือการทำงานตัวแปลนภายใน เช่น การเดินสายไฟ และท่อประปา ดังนั้น การส้รางบ้านที่ดีควรมีการวางแปลนที่เหมาะสมต่อการใช้งานที่สมบูรณ์

การเพิ่มประสิทธิภาพ Technical SEO คืออะไร 

เนื่องจากโลกออนไลน์ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและอัลกอริทึม ประสิทธิภาพทางเทคนิคของเว็บไซต์อาจมีผลต่อความสำเร็จในการค้นหาของคุณได้ ด้วยเหตุผลที่สำคัญดังนี้:

1. เพิ่มความสามารถในการไต่เว็บไซต์และการจัดดัชนี

เครื่องมือค้นหาอย่าง Google ใช้บอท (หรือที่เรียกว่าแมงมุม) เพื่อไต่และจัดดัชนีหน้าเว็บ หากเว็บไซต์ของคุณมีลิงก์ที่เสีย หน้าที่ถูกบล็อก หรือโครงสร้างที่ไม่ได้ปรับปรุง บอทเหล่านี้อาจไม่สามารถเข้าถึงหรือเข้าใจเนื้อหาของคุณได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะลดโอกาสการปรากฏบนผลการค้นหา

2. ปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้

อ้างอิงจาก Google เว็บไซต์ที่มีการโหลดหน้าเว็บตั้งแต่ 1 – 3 วินาที อัตราการตีกลับหรือ Bounce Rate เพิ่มขึ้น 32% ดังนั้น Technical SEO ไม่ได้สำคัญแค่สำหรับเครื่องมือค้นหา แต่ยังสำคัญต่อผู้ใช้ด้วย เว็บไซต์ที่โหลดเร็ว ปลอดภัย และเหมาะกับการใช้งานบนมือถือช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดี ลดอัตราการออกจากหน้าและเพิ่มการมีส่วนร่วม

3. ปรับปรุงอันดับการค้นหา

เครื่องมือค้นหาจะให้รางวัลกับเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพดีด้านเทคนิค ปัจจัยต่างๆ เช่น ความเร็วของเว็บไซต์ ความสามารถในการใช้งานบนมือถือ และความปลอดภัยของ HTTPS เป็นสัญญาณที่สำคัญในการจัดอันดับ นอกจากนี้ การแก้ไขปัญหาทางเทคนิคยังช่วยหลีกเลี่ยงบทลงโทษที่อาจส่งผลกระทบต่ออันดับของคุณอีกด้วย

4. ปรับให้เหมาะสมสำหรับ Core Web Vitals

มาตรวัดจาก Google สำหรับประสบการณ์ผู้ใช้ ประกอบด้วย Largest Contentful Paint (LCP), First Input Delay (FID) และ Cumulative Layout Shift (CLS) เว็บไซต์ที่ปรับปรุงด้านเทคนิคให้ตรงตามมาตรฐานเหล่านี้จะส่งสัญญาณให้ Google ทราบว่าเว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพดีด้านการใช้งาน

ประโยชน์หลักของ Technical SEO คืออะไร

ตอนนี้เราเข้าใจกันแล้วว่า Technical SEO คืออะไร กันไปแล้ว เรามาดูกันว่าประโยชน์หลักของการเพิ่มประสิทธิภาพทางเทคนิคมีอะไรบ้าง:

  • เพิ่มการมองเห็น: ด้วยเว็บไซต์ที่มีโครงสร้างที่ดี เครื่องมือค้นหาสามารถค้นหาและจัดดัชนีเนื้อหาของคุณได้ง่ายขึ้น เพิ่มการมองเห็นบนผลการค้นหา
  • ปรับปรุงประสิทธิภาพ: เวลาโหลดหน้าเว็บที่เร็วขึ้นและการปรับให้เหมาะกับมือถือช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ ลดอัตราการออกจากหน้าเว็บ และเพิ่มอัตราการแปลง
  • ความปลอดภัยที่เข้มแข็งขึ้น: การใช้ HTTPS ไม่เพียงช่วยปกป้องข้อมูลผู้ใช้ แต่ยังเสริมความน่าเชื่อถือและอันดับของเว็บไซต์ด้วย
  • ความสามารถในการขยายตัว: เว็บไซต์ที่มีการปรับปรุงทางเทคนิคที่ดีจะจัดการและขยายได้ง่ายเมื่อต้องเพิ่มเนื้อหาและการเข้าชม

ความแตกต่างระหว่าง Technical SEO, On-Page SEO และ Off-Page SEO 

การเพิ่มประสิทธิภาพทางเทคนิคทำงานร่วมกับ On-Page และ Off-Page SEO แต่เน้นด้านที่ต่างกันของการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์:

แง่มุมเน้นเฉพาะ
Technical SEOโครงสร้างพื้นฐาน, การ craw, การจัดดัชนี, ประสิทธิภาพ, และความปลอดภัย
On-Page SEOเนื้อหา, คีย์เวิร์ด, แท็กเมตา, และองค์ประกอบของประสบการณ์ผู้ใช้
Off-Page SEOการสร้างลิงก์ย้อนกลับ, สัญญาณจากสื่อสังคมออนไลน์, ตัวชี้วัดความน่าเชื่อถือภายนอก

ตัวอย่างเช่น คุณอาจมี meta tags ที่ปรับแต่งได้อย่างสมบูรณ์แบบและเนื้อหาที่น่าสนใจ (On-Page SEO) และ backlink ที่มีคุณภาพสูง (Off-Page SEO) แต่ขาดการเพิ่มประสิทธิภาพการทำ Technical SEO อย่างถูกต้อง เช่น หากโครงสร้างเว็บไซต์ของคุณไม่ได้ใช้ HTTPS ที่ปลอดภัย เครื่องมือค้นหาอาจไม่สามารถจัดอันดับเนื้อหาของคุณได้

บทบาทของเครื่องมือค้นหาด้าน Technical SEO คืออะไร

เครื่องมือค้นหาอย่าง Google ใช้อัลกอริทึมขั้นสูงในการจัดอันดับหน้าเว็บ อัลกอริทึมเหล่านี้พิจารณาปัจจัยทางเทคนิคหลายอย่าง เช่น:

  • ความสามารถในการ craw: บอทสามารถนำทางเว็บไซต์ของคุณได้โดยไม่เจอสิ่งกีดขวางหรือไม่?
  • การจัดดัชนี: บอทสามารถเก็บและจัดหมวดหมู่หน้าเว็บของคุณในฐานข้อมูลของเครื่องมือค้นหาได้หรือไม่?
  • การแสดงผล: เนื้อหาของคุณสามารถแสดงผลได้ถูกต้องบนอุปกรณ์และเบราว์เซอร์ต่างๆ หรือไม่?

ระบบการจัดดัชนีของ Google ถูกออกแบบมาเพื่อให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่ให้ประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุด ข้อผิดพลาดในการทำ Technical SEO เช่น ความเร็วของเว็บไซต์ที่โหลดช้า หรือความไม่เข้ากันกับการใช้งานบนมือถือ อาจส่งผลเสียต่อการประเมินจากเครื่องมือค้นหา

ผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงเมื่อธุรกิจมองข้ามการทำ Technical SEO

เป็นไปได้ที่หลายๆ ธุรกิจมักมองข้ามการทำ Technical SEO และเน้นไปที่การทำเนื้อหาและการทำ backlink เพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม การมองข้ามการปรับปรุงเทคนิค SEO อาจะส่งผลเสียดังต่อไปนี้:

  • อยู่อันดับท้ายๆ: แม้เนื้อหาของคุณมีคุณภาพ แต่ปัญหาทางเทคนิคอาจเป็นอุปสรรคทำให้เนื้อหาไม่ติดในอันดับที่ดีขึ้นได้
  • จำนวนการเข้าชมที่ลดลง: ลิงก์เสีย เวลาโหลดเว็บที่ช้า และประสบการณ์บนมือถือที่ไม่ดีอาจทำให้ผู้ใช้ไม่พอใจและออกจากเว็บไซต์ในที่สุด
  • โอกาสที่สูญเสียไป: ฟีเจอร์อย่าง rich snippets และ featured snippets มักพึ่งพาข้อมูลเชิงโครงสร้างซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของด้านเทคนิค SEO

ลองพิจารณาดูกัน: งานวิจัยของ BrightEdge พบว่าการค้นหาแบบ organic ขับเคลื่อนการเข้าชมเว็บไซต์มากกว่า 53% การไม่ปรับปรุงด้านเทคนิคของเว็บไซต์อาจทำให้คุณพลาดส่วนแบ่งการเข้าชมเหล่านี้ไปอย่างมาก

การเตรียมความพร้อมการทำ Technical SEO คืออะไร

สิ่งที่ต้องเตรียมการปรับปรุงด้านเทคนิค SEO

ก่อนเริ่มลงมือทำ Technical SEO คุณควรแน่ก่อนว่าพร้อมที่จะดำเนินการด้านนี้แล้วหรือยัง เพราะถือเป็นสิ่งสำคัญ เช่นเดียวกับการดำเนินงานเชิงกลยุทธ์อื่นๆ ต่างต้องการเครื่องมือที่เหมาะสม ความรู้พื้นฐาน และแผนการที่ชัดเจน เรามาดูกันว่าสิ่งที่คุณต้องเตรียมเบื้องต้นและเครื่องมือที่จำเป็นในการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณนั้นมีอะไรบ้าง

การทำความเข้าใจเป้าหมายและกลุ่มเป้าหมายของคุณ 

การเพิ่มประสิทธิภาพทางเทคนิคให้เกิดผลลัพธ์สูงสุดไม่ได้เกิดจากการทำงานแบบแยกส่วน แต่ทำหน้าที่สนับสนุนเป้าหมายธุรกิจและการตลาดของคุณโดยรวม เริ่มต้นด้วยการกำหนดวัตถุประสงค์และเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของคุณให้ชัดเจน

ลองตั้งคำถามว่า:

  • เป้าหมายหลักของเว็บไซต์คุณคืออะไร? เช่น การสร้าง lead, การขายสินค้าออนไลน์, การเพิ่มการรับรู้แบรนด์
  • ใครคือผู้ใช้งานหรือกลุ่มเป้าหมายของคุณและพวกเขากำลังมองหาเนื้อหาประเภทไหน?
  • คำค้นหาหรือคำถามใดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณมากที่สุด?

มากไปกว่านั้นการเพิ่มประสิทธิภาพทางเทคนิคให้สอดคล้องกับเป้าหมายเหล่านี้ คุณจะมั่นใจได้ว่าการปรับปรุงที่ทำไว้จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้ใช้และเครื่องมือค้นหา ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซอาจให้ความสำคัญกับการโหลดหน้าเพจสินค้าที่รวดเร็ว ในขณะที่เว็บบล็อกอาจเน้นการใช้ข้อมูลโครงสร้างเพื่อเพิ่มโอกาสในการแสดงผล Featured Snippets

การตั้งค่าเครื่องมือที่จำเป็นในการทำ Technical SEO

ประสิทธิภาพของกลยุทธ์ด้านเทคนิค SEO ของคุณขึ้นอยู่กับเครื่องมือที่คุณเลือกใช้ เครื่องมือเหล่านี้ไม่เพียงช่วยระบุปัญหาที่เกิดขึ้นได้ แต่ยังให้ข้อมูลเชิงลึกที่นำไปใช้ปรับปรุงได้จริง เรามาดูเครื่องมือที่มีมีประสิทธิภาพเหล่านี้กัน

Google Search Console (GSC)

Technical SEO  GSC

Google Search Console เป็นเครื่องมือที่ให้คุณเข้าใจว่า Google โต้ตอบกับเว็บไซต์ของคุณอย่างไร โดยให้รายงานรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดทำดัชนี (Indexing), การไต่ (Crawling) และประสิทธิภาพของเว็บไซต์ ฟีเจอร์หลักประกอบด้วย:

  • รายงานการครอบคลุมของ index: แสดงว่ามีหน้าไหนถูกจัดทำดัชนี หน้าใดถูกยกเว้น และทำไม ตัวอย่างเช่น คุณอาจพบว่ามีหน้าที่ถูกยกเว้นเนื่องจาก “ไต่แล้วแต่ยังไม่ได้จัดทำดัชนี” หรือ “ซ้ำซ้อน, URL ที่ส่งมาไม่ถูกเลือกเป็น canonical”
  • เครื่องมือตรวจสอบ URL: วิเคราะห์ URL แต่ละอันเพื่อดูว่ากูเกิลไต่และแสดงผลอย่างไร ใช้เครื่องมือนี้เพื่อแก้ไขปัญหาปัญหาของแต่ละหน้า
  • รายงานการปรับปรุง: เน้นเรื่อง Core Web Vitals, การใช้งานบนมือถือ และข้อมูลโครงสร้าง แสดงจุดที่สามารถปรับปรุงดับอันดับของคุณ

เคล็ดลับ: ใช้ GSC เพื่อส่งแผนผังเว็บไซต์ของคุณและตรวจสอบโครงสร้างเว็บไซต์ว่า Google ประมวลผลอย่างไร

ใช้ Screaming Frog SEO Spider

Technical SEO  เครื่องมือ

Screaming Frog เป็นเครื่องมือที่เปรียบเสมือนมีดสารพัดประโยชน์ในการเพิ่มประสิทธิภาพทางเทคนิคเพราะสามารถไต่เว็บไซต์ของคุณเหมือนเครื่องมือค้นหาโดยสามารถระบุปัญหาสำคัญที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของเว็บไซต์ได้ทันที

คุณสมบัติสำคัญที่ควรใช้:

  • ลิงก์เสียและลูปการเปลี่ยนเส้นทาง: ตรวจจับข้อผิดพลาด 404 และลูปการเปลี่ยนเส้นทางที่ทำให้โควต้าในการไต่ถูกใช้อย่างไม่จำเป็น
  • การวิเคราะห์ข้อมูล meta: ค้นหาแท็กชื่อเรื่องและคำอธิบายเมตาที่ขาดหายหรือซ้ำซ้อน
  • ปัญหาแท็กแคนนอนิคอล: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกหน้ามี URL แคนนอนิคอลที่ถูกต้อง เพื่อหลีกเลี่ยงการลงโทษการจัดทำเนื้อหาซ้ำ

เคล็ดลับการตั้งค่า:

  1. การจัดสรรหน่วยความจำ: สำหรับเว็บไซต์ขนาดใหญ่ ให้เพิ่มหน่วยความจำของ Screaming Frog ในเมนู Configuration > System > Memory เพื่อป้องกันการล่มของข้อมูล
  2. การตรวจสอบข้อมูลเชิงโครงสร้าง: เปิดใช้งานการตรวจสอบ JSON-LD, Microdata และ RDFa ภายใต้เมนู Configuration > Spider > Extraction เพื่อยืนยันความถูกต้องของ Schema markup

PageSpeed Insights

ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการจัดอันดับ PageSpeed Insights จะประเมินประสิทธิภาพของเว็บไซต์ทั้งบนเดสก์ท็อปและมือถือ โดยแสดงจุดที่ควรปรับปรุงใน Core Web Vitals

เมตริกที่ควรติดตาม:

  • LCP (Largest Contentful Paint): วัดเวลาที่ใช้ในการโหลดองค์ประกอบเนื้อหาที่ใหญ่ที่สุด เป้าหมายคือไม่เกิน 2.5 วินาที
  • FID (First Input Delay): ประเมินการตอบสนองต่อการโต้ตอบ ควรต่ำกว่า 100 มิลลิวินาที
  • CLS (Cumulative Layout Shift): ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงเลย์เอาต์ที่ไม่คาดคิด ควรมีคะแนนต่ำกว่า 0.1

เครื่องมืออื่นๆ ที่ควรพิจารณา:

  • Ahrefs และ SEMrush: เหมาะสำหรับการวิเคราะห์ backlink และติดตามประสิทธิภาพของคีย์เวิร์ดควบคู่ไปกับการตรวจสอบด้านเทคนิค
  • Lighthouse (ผ่าน Chrome DevTools): ให้การตรวจสอบเชิงลึกด้านประสิทธิภาพ การเข้าถึง และ SEO
  • GTmetrix: รายงานรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาในการโหลด ช่วยระบุองค์ประกอบที่ทำให้เว็บไซต์ช้าลง

การพัฒนากลยุทธ์ด้าน Technical SEO

การออกแบบและพัฒนากลยุทธ์การเพิ่มประสิทภาพทางด้านเทคนิคนั้น ประกอบด้วย:

ขั้นตอนที่ 1: การประเมินประสิทธิภาพ SEO ปัจจุบัน

ก่อนทำการเปลี่ยนแปลงใดๆ ให้ตั้งค่ามาตรฐานเพื่อวัดผลกระทบจากการปรับปรุง ใช้เครื่องมือ SEO วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตรวจสอบ:

  • แหล่งที่มาของการเข้าชม: ระบุสัดส่วนของการเข้าชมที่มาจากการค้นหาแบบ organic
  • อัตราการตีกลับ: หากหน้าใดมีอัตราการตีกลับสูง อาจบ่งชี้ถึงปัญหาด้านประสิทธิภาพหรือการใช้งาน
  • เวลาในการโหลดหน้าเว็บ: ใช้เครื่องมืออย่าง Lighthouse และ PageSpeed Insights เพื่อระบุหน้าที่โหลดช้า

ขั้นตอนที่ 2: ระบุปัญหาทาง Technical SEO

ทำการตรวจสอบเว็บไซต์อย่างละเอียดเพื่อค้นหาปัญหา เช่น:

  • ข้อผิดพลาดในการ craw: ลิงก์เสีย หน้าที่หายไป และการตั้งค่าไฟล์ robots.txt ที่ไม่ถูกต้อง
  • เนื้อหาที่ซ้ำซ้อน: ใช้ Screaming Frog เพื่อตรวจสอบเนื้อหาซ้ำในแท็กเมตาหรือเนื้อหาบนหน้าเว็บ
  • ปัญหาการใช้งานบนมือถือ: ใช้เครื่องมือทดสอบการใช้งานบนมือถือของ Google เพื่อให้มั่นใจว่าประสบการณ์การใช้งานบนมือถือของคุณดีที่สุด

ขั้นตอนที่ 3: จัดลำดับความสำคัญในการแก้ไข

โดยปกติคุณไม่จำเป็นต้องแก้ไขปัญหาทางเทคนิคทั้งหมดทันที แต่ควรเน้นที่ปัญหาที่มีผลกระทบมากสุด:

  • ปัญหาที่สำคัญ: ข้อผิดพลาดที่ทำให้ไม่สามารถจัดทำดัชนีได้ เช่น หน้าที่ถูกบล็อกหรือแผนผังเว็บไซต์ที่ไม่สมบูรณ์
  • คอขวดด้านประสิทธิภาพ: หน้าที่มีคะแนน Core Web Vitals ต่ำ
  • การปรับปรุงที่ง่าย: การแก้ไขอย่างรวดเร็ว เช่น การปรับแท็กเมตาหรืออัปเดตไฟล์ robots.txt

ขั้นตอนที่ 4: การตรวจสอบและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง 

การทำ Technical SEO ไม่ใช่งานที่ทำเพียงครั้งเดียว ควรตั้งค่าการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอเพื่อจับปัญหาใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา นอกจากนี้:

  • ติดตามสถานะการไต่ใน GSC: ตรวจสอบให้แน่ใจว่า Googlebot กำลังไต่เว็บไซต์ของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ
  • ติดตามความก้าวหน้าของ Core Web Vitals: ทบทวนคะแนน LCP, FID และ CLS ของคุณเป็นประจำ

องค์ประกอบสำคัญของ Technical SEO คืออะไร

การสร้างเว็บไซต์ที่มีการปรับปรุงทางเทคนิคจำเป็นต้องมุ่งเน้นที่องค์ประกอบหลักของ Technical SEO องค์เพราะเป็นพื้นฐานของวิธีที่เครื่องมือค้นหาโต้ตอบกับเว็บไซต์ของคุณโดยตรง

1. ความสามารถในการ craw และการจัดทำดัชนี

ความสามารถในการไต่ (Crawlability) หมายถึงความง่ายที่เครื่องมือค้นหาสามารถนำทางในหน้าเว็บของคุณได้ หากบอทของเครื่องมือค้นหาพบเจออุปสรรค พวกเขาอาจข้ามเนื้อหาที่สำคัญไป

1.1. ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสามารถในการไต่

การกำหนดค่าไฟล์ robots.txt เนื่องจากไฟล์นี้จะบอกบอทว่าควร craw ส่วนไหนของเว็บไซต์ ควรระมัดระวังในการ block หรือ ปิดกั้นส่วนต่างๆ

User-agent: * Disallow: /admin/

Disallow: /private/ 

Sitemap: https://example.com/sitemap.xml

1.2. การทำลิงก์เชื่อมกันภายใน (internal linking)

การเชื่อมโยงลิงก์ภายในที่เหมาะสมช่วยให้แม้แต่หน้าที่อยู่ลึกในโครงสร้างของเว็บไซต์ก็ยังสามารถถูกค้นพบโดยบอทได้ 

1.3. การจัดทำดัชนี: ให้หน้าเว็บของคุณปรากฏบนผลการค้นหา 

การจัดทำดัชนี (Indexability) ทำให้หน้าที่ถูกไต่สามารถถูกจัดเก็บในดัชนีของเครื่องมือค้นหาได้แต่ปัญหาที่พบบ่อย ได้แก่: 

  • หน้าที่ไม่มีการเชื่อมโยง (Orphan Pages): หน้าที่ไม่ได้เชื่อมโยงจากหน้าอื่นใด ใช้ Screaming Frog เพื่อตรวจหาหน้าเหล่านี้ 
  • แท็ก canonical: ป้องกันปัญหาเนื้อหาซ้ำซ้อนโดยการตั้งค่า URL แคนนอนิคอล
<link rel="canonical" href="https://example.com/preferred-url/">

2. โครงสร้างและการนำทางของเว็บไซต์

โครงสร้างเว็บไซต์ที่เป็นระบบช่วยทั้งผู้ใช้และเครื่องมือค้นหา มันช่วยให้บอทเข้าใจลำดับชั้นของเนื้อหาของคุณและปรับปรุงการนำทางสำหรับผู้ใช้

{

  "@context": "https://schema.org",

  "@type": "BreadcrumbList",

  "itemListElement": [

    {

      "@type": "ListItem",

      "position": 1,

      "name": "Home",

      "item": "https://example.com"

    },

    {

      "@type": "ListItem",

      "position": 2,

      "name": "Category",

      "item": "https://example.com/category"

    }

  ]

}

แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด:

  • ใช้การจัดอันดับความสำคัญของหัวข้อแบบเรียบง่าย: เพื่อให้แน่ใจว่าหน้าสำคัญสามารถเข้าถึงได้ภายในสามคลิ๊กจากหน้าแรก

3. การใช้ canonical และการจัดการเนื้อหาซ้ำซ้อน

กรณีการทำเนื้อหาซ้ำซ้อนอาจทำให้เครื่องมือค้นหาสับสน ควรใช้ canonical tag เพื่อรวบรวมสัญญาณเหล่านี้ให้เป็นหนึ่งเดียว:

  • การใช้งาน: หากเว็บไซต์ของคุณมีหน้าที่มีเนื้อหาคล้ายกัน เช่น หน้าผลิตภัณฑ์ที่มีตัวกรองต่างๆ ควรชี้ให้ไปยังเวอร์ชันแคนนอนิคอล

ตัวอย่าง:

<link rel="canonical" href="https://example.com/main-product-page" />

การเพิ่มประสิทธิภาพ Technical SEO คืออะไร

1. ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ

Technical SEO คืออะไร

เวลาการโหลดหน้าเว็บไซต์ หรือ Page Speed ไม่เพียงเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่ออันดับ แต่ยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประสบการณ์ผู้ใช้ จากการวิจัยของ Google พบว่าเว็บไซต์ที่โหลดภายในเวลาน้อยกว่า 2 วินาทีสามารถรักษาผู้ใช้ได้มากกว่าเว็บไซต์ที่ช้ากว่าอย่างมีนัยสำคัญ

กลยุทธ์สำคัญในการเพิ่มความเร็ว:

  • การปรับปรุงรูปภาพ: แปลงรูปภาพเป็นรูปแบบ WebP เพื่อให้โหลดเร็วขึ้นโดยไม่สูญเสียคุณภาพ
  • เปิดใช้งานการแคชของเบราว์เซอร์: จัดเก็บทรัพยากรที่ใช้บ่อยในเบราว์เซอร์ของผู้ใช้
  • ลดขนาดไฟล์ CSS และ JavaScript: ลบช่องว่างและคำอธิบายที่ไม่จำเป็นเพื่อทำให้ไฟล์มีขนาดเล็กลง

2. การรองรับการใช้งานบนมือถือ

เมื่อ Google เปลี่ยนไปใช้การจัดทำดัชนีบนมือถือเป็นหลัก ประสบการณ์ใช้งานบนมือถือของเว็บไซต์จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญ การรองรับการใช้งานบนมือถือทำให้เว็บไซต์ของคุณทำงานได้ดีบนทุกอุปกรณ์ มอบประสบการณ์ผู้ใช้ที่ราบรื่น

ข้อควรพิจารณาหลักสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพบนมือถือ:

  1. การออกแบบที่ตอบสนองต่อหน้าจออุปกรณ์: ใช้กรอบการออกแบบที่ตอบสนองต่อหน้าจอซึ่งปรับเลย์เอาต์ของเว็บไซต์ตามอุปกรณ์ของผู้ใช้
  2. ขนาดฟอนต์และปุ่ม: ผู้ใช้บนมือถือใช้งานผ่านการสัมผัส ปุ่มและลิงก์จึงควรมีขนาดใหญ่พอให้แตะได้ง่าย โดยใช้ขนาดไม่ต่ำกว่า 48px x 48px สำหรับองค์ประกอบที่สัมผัสได้
  3. หลีกเลี่ยงการใช้ทรัพยากรแทรก: เช่น ป๊อปอัพที่บังเนื้อหาอาจทำให้ผู้ใช้ไม่พอใจและอาจส่งผลให้ถูกลงโทษจาก Google หากต้องใช้จริงๆ (เช่น การยินยอมคุกกี้) ทำให้ไม่รบกวนและง่ายต่อการปิดหน้าต่างนั้น
  4. ทดสอบการใช้งานบนมือถือ: ใช้ Google’s Mobile-Friendly Test เพื่อตรวจหาปัญหาด้านการใช้งานบนมือถือและให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณผ่านการตรวจสอบทั้งหมด

3. ความปลอดภัยของเว็บไซต์ (HTTPS)

ความปลอดภัยของเว็บไซต์เป็นสิ่งที่ผู้ใช้และเครื่องมือค้นหาให้ความสำคัญ ตั้งแต่ปี 2014 Google ยืนยันว่า HTTPS เป็นสัญญาณที่ดีในการจัดอันดับ โดยให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่มีปลอดภัย

ประโยชน์ของ HTTPS:

  • การป้องกันข้อมูล: เข้ารหัสข้อมูลผู้ใช้ระหว่างการส่งข้อมูล เพื่อปกป้องข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่านและรายละเอียดการชำระเงิน
  • ความน่าเชื่อถือและความมั่นใจ: การเชื่อมต่อที่ปลอดภัยจะแสดงเป็นรูปแม่กุญแจในแถบเบราว์เซอร์ เพิ่มความมั่นใจให้ผู้ใช้
  • อันดับที่ดีขึ้น: Google ให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่ปลอดภัย โดยการให้คะแนน HTTPS เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่ออันดับ

วิธีใช้งาน HTTPS:

  • ซื้อใบรับรอง SSL: เลือกซื้อ SSL จากผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือ หลายบริการโฮสต์เสนอใบรับรอง SSL ฟรีจาก Let’s Encrypt
  • ตั้งค่า 301 Redirects: เปลี่ยนเส้นทางการเข้าถึงทั้งหมดจาก HTTP เป็น HTTPS เพื่อรวบรวมทราฟฟิกและการเชื่อมโยงให้เป็นหนึ่งเดียว
RewriteEngine On

RewriteCond %{HTTPS} off 

RewriteRule ^ https://%{HTTP_HOST}%{REQUEST_URI} [L,R=301]
  • อัปเดตลิงก์ภายใน: ตรวจสอบให้ลิงก์ภายในทั้งหมดชี้ไปที่เวอร์ชัน HTTPS เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเนื้อหาที่ผสม
  • ตรวจหาปัญหาเนื้อหาผสม: ใช้เครื่องมือเช่น Screaming Frog เพื่อตรวจหาเนื้อหาผสมที่หน้าเว็บที่ปลอดภัยโหลดองค์ประกอบที่ไม่ปลอดภัย เช่น รูปภาพ หรือ สคริปต์

แนวทางการทำ Technical SEO ขั้นสูง

สำหรับเว็บไซต์ที่มุ่งหวังจะทำผลงานเหนือกว่าคู่แข่ง การทำ Technical SEO ขั้นสูงจะช่วยสร้างความได้เปรียบ ซึ่งรวมถึงการเพิ่มการมองเห็นบนผลการค้นหาผ่านข้อมูลเชิงโครงสร้าง การแก้ไขปัญหาด้าน JavaScript SEO และการปรับปรุง Core Web Vitals

1. ข้อมูลเชิงโครงสร้าง และการทำ Schema Markup

การใช้ข้อมูลเชิงโครงสร้างช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาของคุณได้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดผลการค้นหาที่มีข้อมูลเชิงลึก เช่น คะแนนดาว, ขั้นตอนการทำอาหาร และรายละเอียดกิจกรรม

ประเภทและประโยชน์ของ Schema Markup ที่พบบ่อย:

  • Product Schema: แสดงรายละเอียดสินค้า เช่น ราคาและสถานะการวางจำหน่ายในผลการค้นหา

FAQ Schema: เพิ่มคุณค่าให้กับหน้าคำถามที่พบบ่อย (FAQ) โดยเพิ่มโอกาสในการแสดงผลใน Featured Snippets ของ Google

RewriteEngine On

RewriteCond %{HTTPS} off 

RewriteRule ^ https://%{HTTP_HOST}%{REQUEST_URI} [L,R=301]

เคล็ดลับในการใช้งาน:

  • ใช้เครื่องมือ Google’s Structured Data Testing Tool เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของ Schema
  • ตรวจสอบรายงานการปรับปรุงใน GSC เป็นประจำเพื่อตรวจหาข้อผิดพลาดหรือโอกาสในการปรับปรุงข้อมูลเชิงโครงสร้าง

2. JavaScript SEO

เฟรมเวิร์ก JavaScript เช่น React, Angular และ Vue เป็นที่นิยมในการสร้างเว็บไซต์ที่ทันสมัยและมีการโต้ตอบสูง อย่างไรก็ตาม เฟรมเวิร์กเหล่านี้อาจสร้างความท้าทายให้กับบอทของเครื่องมือค้นหาที่อาจไม่สามารถแสดงเนื้อหาที่สร้างจาก JavaScript ได้

ปัญหาทั่วไปของ JavaScript SEO:

  1. การเรนเดอร์ล่าช้า: เครื่องมือค้นหาอาจไม่รอให้ JavaScript โหลดเสร็จ จึงทำให้พลาดเนื้อหาสำคัญ
  2. การเรนเดอร์ฝั่งผู้ใช้ (Client-Side Rendering): เนื้อหาที่สร้างขึ้นแบบไดนามิกบนฝั่งผู้ใช้อาจไม่ได้รับการจัดทำดัชนีอย่างถูกต้อง

วิธีแก้ไขปัญหา JavaScript SEO:

  • การเรนเดอร์ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ (Server-Side Rendering, SSR): เรนเดอร์หน้าบนเซิร์ฟเวอร์ก่อนส่งให้ลูกค้า เพื่อให้บอทสามารถเข้าถึงเนื้อหาทั้งหมดได้
  • การเรนเดอร์แบบไดนามิก: ส่งเวอร์ชันที่แสดงผลล่วงหน้าให้กับบอทขณะที่ให้ประสบการณ์แบบ JavaScript แบบโต้ตอบกับผู้ใช้
  • บริการแสดงผลล่วงหน้า (Pre-rendering Services): ใช้เครื่องมืออย่าง Prerender.io เพื่อสร้างภาพนิ่ง HTML ของหน้าเว็บสำหรับเครื่องมือค้นหา

แนวทางที่ดีที่สุดสำหรับ JavaScript SEO:

  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเนื้อหาสำคัญเข้าถึงได้ใน HTML ตอบกลับแรก
  • ใช้ URL ที่มีความหมายสำหรับเนื้อหาแบบไดนามิก หลีกเลี่ยงการใช้ hash fragments (#!)

3. การปรับปรุง Core Web Vitals

Core Web Vitals คือชุดเมตริกที่ Google ใช้ในการประเมินประสบการณ์ของผู้ใช้ ซึ่งเมตริกเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออันดับ และมีผลโดยตรงต่อการมองเห็นเว็บไซต์ในผลการค้นหา

เมตริกของ Core Web Vitals:

  • Largest Contentful Paint (LCP): วัดเวลาในการโหลดเนื้อหาหลักของหน้า เป้าหมายคือไม่เกิน 2.5 วินาที
  • First Input Delay (FID): วัดเวลาจากที่ผู้ใช้เริ่มโต้ตอบกับหน้า (เช่น คลิกปุ่ม) จนถึงการตอบสนองของเบราว์เซอร์ เป้าหมายคือน้อยกว่า 100 มิลลิวินาที
  • Cumulative Layout Shift (CLS): ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงเลย์เอาต์ที่ไม่คาดคิดระหว่างการโหลด เป้าหมายคือคะแนนต่ำกว่า 0.1

กลยุทธ์ในการปรับปรุง Core Web Vitals:

  1. ปรับปรุงรูปภาพ: ใช้รูปแบบที่ทันสมัย เช่น WebP และเปิดใช้การโหลดแบบ Lazy Loading เพื่อปรับปรุง LCP
  2. ลดการบล็อก JavaScript: เลื่อนการโหลด JavaScript ที่ไม่สำคัญเพื่อลด FID
  3. สำรองพื้นที่สำหรับสื่อ: กำหนดขนาดสำหรับรูปภาพและวิดีโอเพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงเลย์เอาต์ ปรับปรุง CLS

เคล็ดลับเพิ่มเติม: ใช้ PageSpeed Insights และ Google Search Console เพื่อติดตามและปรับปรุงคะแนน Core Web Vitals ของคุณอย่างสม่ำเสมอ

การตรวจสอบ Technical SEO คืออะไร

การตรวจสอบ Technical SEO คืออะไร

การตรวจสอบ Technical SEO เป็นการวิเคราะห์สถาะทางเทคนิคของเว็บไซต์อย่างละเอียด เพื่อช่วยระบุปัญหาที่อาจขัดขวางประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์ในเครื่องมือค้นหา

ขั้นตอนที่ 1: การไต่เว็บไซต์ของคุณ

ใช้เครื่องมืออย่าง Screaming Frog เพื่อทำการไต่เว็บไซต์ทั้งหมด โดยมุ่งเน้นที่:

  • ลิงก์ที่เสีย: ตรวจจับและแก้ไขข้อผิดพลาด 404
  • เส้นทางการเปลี่ยนเส้นทาง: ลดความซับซ้อนของเส้นทางการเปลี่ยนเส้นทางเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการไต่
  • หน้าที่ไม่มีการเชื่อมโยง: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าหน้าสำคัญทุกหน้ามีการเชื่อมโยงภายใน

ขั้นตอนที่ 2: วิเคราะห์ข้อมูลการไต่

ตรวจหาลักษณะและข้อผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น:

  • ปัญหาการจัดทำดัชนี: หน้าที่ไม่ได้รับการจัดทำดัชนีเนื่องจากแท็ก “noindex” หรือข้อจำกัดในการไต่
  • ปัญหาด้านข้อมูลเมตา: แท็กชื่อเรื่องและคำอธิบาย meta ที่ขาดหายหรือซ้ำซ้อน
  • ความลึกของหน้า (Page Depth): หน้าที่สำคัญไม่ควรอยู่ลึกเกินไปในโครงสร้างเว็บไซต์

ขั้นตอนที่ 3: จัดลำดับความสำคัญและแก้ไขปัญหา

จัดหมวดหมู่ปัญหาตามผลกระทบต่ออันดับการค้นหาและประสบการณ์ของผู้ใช้ จัดการกับปัญหาที่สำคัญก่อน เช่น หน้าที่ถูกบล็อกหรือปัญหาการใช้งานบนมือถือที่ไม่ดี

การตรวจสอบ Technical SEO เป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องเพื่อระบุและแก้ไขปัญหาทางเทคนิค เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นเครื่องมือวินิจฉัยที่ช่วยให้คุณเข้าใจวิธีที่เครื่องมือค้นหาและผู้ใช้โต้ตอบกับเว็บไซต์ของคุณ ต่อไปนี้คือวิธีการตรวจสอบที่ละเอียด:

ขั้นตอนที่ 4: ตรวจสอบ Core Web Vitals

Core Web Vitals เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่บ่งบอกถึงประสบการณ์ผู้ใช้ ใช้เครื่องมืออย่าง Google Search Console (GSC) และ PageSpeed Insights เพื่อตรวจสอบและปรับปรุงตัวชี้วัดเหล่านี้

เมตริกสำคัญที่ควรตรวจสอบ:

  1. Largest Contentful Paint (LCP):
    • มุ่งเน้นที่การปรับปรุงเวลาในการโหลดโดยการปรับรูปภาพ ลดเวลาในการตอบสนองของเซิร์ฟเวอร์ และใช้ Content Delivery Network (CDN)
    • เครื่องมือที่ใช้: Lighthouse และ GTmetrix
  2. First Input Delay (FID):
    • เพิ่มประสิทธิภาพการโต้ตอบของผู้ใช้โดยการเลื่อนการโหลด JavaScript ที่ไม่สำคัญและลดการใช้สคริปต์จากบุคคลที่สาม
  3. Cumulative Layout Shift (CLS):
    • ป้องกันการเปลี่ยนแปลงเลย์เอาต์ที่ไม่คาดคิดโดยการสำรองพื้นที่สำหรับรูปภาพและโฆษณา
    • เครื่องมือที่ใช้: WebPageTest

ขั้นตอนที่ 5: ประเมินการใช้งานบนมือถือ

เนื่องจากมากกว่า 60% ของการค้นหามาจากอุปกรณ์มือถือ การใช้งานบนมือถือจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับความสำเร็จด้าน SEO

ส่วนสำคัญที่ควรตรวจสอบในการใช้งานบนมือถือ:

  • การออกแบบที่ตอบสนองต่อหน้าจอ: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณปรับให้เข้ากับขนาดหน้าจอที่หลากหลาย
  • ความเร็วในการโหลดบนมือถือ: ผู้ใช้มือถือคาดหวังการโหลดที่รวดเร็ว ดังนั้นควรเน้นที่การปรับปรุงความเร็ว
  • องค์ประกอบการสัมผัส: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าปุ่มและลิงก์มีขนาดและระยะห่างที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานบนหน้าจอสัมผัส
  • ใช้ Google’s Mobile-Friendly Test: เพื่อตรวจหาปัญหาเฉพาะบนมือถือและแก้ไข

ความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับ หากเว็บไซต์ของคุณไม่ได้ใช้ HTTPS คุณอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียทั้งอันดับและความเชื่อมั่นจากผู้ใช้

ขั้นตอนที่ 6: ตรวจสอบการใช้งาน HTTPS

รายการตรวจสอบสำหรับ HTTPS:

  • ความถูกต้องของใบรับรอง SSL: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าใบรับรอง SSL ของคุณใช้งานได้และกำหนดค่าอย่างถูกต้อง
  • เนื้อหาที่ผสม: ระบุและแก้ไขปัญหาที่เนื้อหา HTTPS โหลดสินทรัพย์ที่เป็น HTTP
  • การเปลี่ยนเส้นทาง: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าหน้า HTTP ทั้งหมดถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยัง HTTPS อย่างถูกต้องโดยใช้การเปลี่ยนเส้นทางแบบ 301
  • การใช้ HSTS Implementation: เพื่อบังคับใช้การเชื่อมต่อ HTTPS

ขั้นตอนที่ 7: ตรวจสอบข้อผิดพลาดในการไต่ หรือ Craw

ข้อผิดพลาดในการไต่อันดับสามารถป้องกันไม่ให้เครื่องมือค้นหาเข้าถึงและจัดทำดัชนีเนื้อหาของคุณได้ ใช้เครื่องมืออย่าง Screaming Frog และรายงาน Coverage ของ GSC เพื่อตรวจหาปัญหาเหล่านี้

ข้อผิดพลาดในการไต่ที่พบบ่อย:

  • ข้อผิดพลาด 404 (ไม่พบหน้า): หน้าที่ไม่มีอยู่แล้วแต่ยังคงมีลิงก์จากหน้าอื่น แนะนำให้ตั้งค่า 301 redirect ไปยังเนื้อหาที่เกี่ยวข้องมากที่สุด
  • ข้อผิดพลาด 500 (ข้อผิดพลาดของเซิร์ฟเวอร์): ระบุปัญหาเกี่ยวกับเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องให้ผู้ให้บริการโฮสติ้งแก้ไข
  • ทรัพยากรที่ถูกบล็อก: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าทรัพยากรสำคัญ เช่น CSS และ JavaScript ไม่ถูกบล็อกในไฟล์ robots.txt

ขั้นตอนที่ 8: ปรับปรุง XML Sitemap ของคุณ

กล่าวคือ XML Sitemap เปรียบเสมือนแผนที่นำทางสำหรับเครื่องมือค้นหา ช่วยให้บอทสามารถเข้าถึงและจัดทำดัชนีเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด:

  • รวมหน้าที่จำเป็นทั้งหมด แต่ยกเว้นหน้าที่มีแท็ก noindex หรือเนื้อหาที่ซ้ำซ้อน
  • อัปเดต Sitemap ของคุณให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในเว็บไซต์
  • ส่ง Sitemap ใน Google Search Console

ตัวอย่างรายการใน Sitemap:

<url>

  <loc>https://example.com/page1</loc>

  <lastmod>2024-01-01</lastmod>

  <priority>0.8</priority>

</url>

ขั้นตอนที่ 9: วิเคราะห์โครงสร้างการเชื่อมโยงภายใน

ลิงก์ภายใน หรือ Internal Links ช่วยกระจายลิงก์ค่าสิทธิ์และแนะนำผู้ใช้ให้เข้าถึงเนื้อหาในเว็บไซต์ นอกจากนี้ยังช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจลำดับชั้นของเว็บไซต์

ข้อควรพิจารณาสำคัญ:

  • ข้อความลิงก์ (Anchor Text): ใช้ข้อความลิงก์ที่อธิบายและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่ลิงก์ไป
  • ความลึกของลิงก์: ตรวจสอบให้หน้าสำคัญอยู่ห่างจากหน้าแรกไม่เกิน 3 คลิก
  • ลิงก์ที่เสีย: ระบุและแก้ไขลิงก์ภายในที่เสีย เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้และการไต่ของบอท

ขั้นตอนที่ 10: ทำการตรวจสอบข้อมูลเชิงโครงสร้าง

ข้อมูลเชิงโครงสร้างช่วยเพิ่มการมองเห็นของเว็บไซต์ โดยทำให้ผลการค้นหาแสดงข้อมูลเชิงลึกใน SERPs

ขั้นตอนการใช้งานและตรวจสอบข้อมูลเชิงโครงสร้าง:

  • ใช้ประเภท Schema ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา (เช่น Product, FAQ, Event)
  • ตรวจสอบข้อมูลเชิงโครงสร้างของคุณโดยใช้ Google’s Rich Results Test และ Schema Markup Validator
  • ตรวจสอบรายงานการปรับปรุงของ GSC เป็นประจำ เพื่อตรวจหาข้อผิดพลาดหรืออัปเดตการใช้งานข้อมูลเชิงโครงสร้าง

ขั้นตอนที่ 11: ตรวจสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์

เมื่อการตรวจสอบเสร็จสิ้น ให้กำหนดแผนการติดตามเพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพการปรับปรุงของคุณ

ตัวชี้วัดประสิทธิภาพหลัก (KPIs):

  • การเข้าชมจากการค้นหาออร์แกนิก: ติดตามการเพิ่มขึ้นของการเข้าชมที่มาจากการค้นหา
  • อัตราการจัดทำดัชนี: ติดตามจำนวนหน้าที่ถูกจัดทำดัชนีเทียบกับหน้าที่ส่งไป
  • การใช้โควต้าในการไต่: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าหน้าสำคัญถูกไต่เป็นประจำ

ตั้งค่าการแจ้งเตือนในเครื่องมืออย่าง GSC หรือ Ahrefs เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีปัญหาใหม่เกิดขึ้น

อ่านบทความ กลยุทธ์การตลาดเนื้อหา B2B: เคล็ดลับมืออาชีพ

Technical SEO สำหรับการใช้งานเฉพาะกรณี

เว็บไซต์ประเภทต่างๆ เผชิญความท้าทายด้าน Technical SEO ที่ไม่เหมือนกัน มาดูแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ แอปพลิเคชันหน้าเดียว (SPAs) และเว็บไซต์หลายภาษา

1. เว็บไซต์ e-commerce

เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซมักมีสินค้าจำนวนมาก เนื้อหาไดนามิก และการนำทางที่ซับซ้อน ซึ่งก่อให้เกิดความท้าทายเฉพาะด้านการนำทางด้วยการกรอง คือ การกรองหลายแบบอาจนำไปสู่เนื้อหาซ้ำ ใช้แท็ก noindex หรือแคนนอนิคอลเพื่อจัดการกับหน้าประเภทนี้ และการจัดการสินค้าที่แตกต่างกัน ซึ่งหมายถึงรวมหน้าสินค้าที่คล้ายกัน เช่น สีต่างกัน โดยใช้แท็กแคนนอนิคอลหรือรวมเป็น URL เดียว

แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด:

  • การแบ่งหน้า: ใช้แท็ก rel=”next” และ rel=”prev” เพื่อช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างหน้าที่แบ่งหน้า
  • ข้อมูลเชิงโครงสร้าง: ใช้ Schema สำหรับสินค้า รีวิว และราคาเพื่อเพิ่มการมองเห็นใน SERPs

2. แอปพลิเคชันหน้าเดียว (Single-Page Applications, SPAs)

SPAs พึ่งพา JavaScript เป็นหลักในการโหลดเนื้อหาแบบไดนามิก ซึ่งอาจสร้างความท้าทายในการทำให้เครื่องมือค้นหาสามารถไต่ได้อย่างสมบูรณ์

ประเด็นหลัก:

  • การแสดงผลเนื้อหา: บอทอาจมีปัญหาในการแสดงผลและจัดทำดัชนีเนื้อหาที่สร้างแบบไดนามิก
  • การจัดการ URL: SPAs มักใช้ hash fragments ซึ่งอาจทำให้การจัดทำดัชนีไม่ถูกต้อง

แนวทางแก้ไข:

  • การเรนเดอร์ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ (SSR): แสดงผลหน้าเว็บบนเซิร์ฟเวอร์ก่อนเพื่อให้บอทสามารถเข้าถึงเนื้อหาทั้งหมดได้
  • การเรนเดอร์แบบไดนามิก: ให้เวอร์ชันภาพนิ่งแก่บอทขณะที่ให้ผู้ใช้สัมผัสประสบการณ์แบบไดนามิก

3. เว็บไซต์หลายภาษาและหลายภูมิภาค

การจัดการเนื้อหาสำหรับหลายภาษาและหลายภูมิภาคต้องการการดูแลด้าน Technical SEO อย่างละเอียด

ข้อควรพิจารณาหลัก:

  • แท็ก Hreflang: ระบุภาษาและภูมิภาคที่ต้องการ เพื่อหลีกเลี่ยงเนื้อหาซ้ำและให้ผู้ใช้เห็นเวอร์ชันที่ถูกต้องของเว็บไซต์
<link rel="alternate" hreflang="en-us" href="https://example.com/us/" />

<link rel="alternate" hreflang="fr-fr" href="https://example.com/fr/" />
  • กลยุทธ์โดเมนภูมิภาค: ใช้ซับไดเรกทอรี (เช่น example.com/fr/) หรือซับโดเมน (เช่น fr.example.com) เพื่อจัดการเนื้อหาสำหรับแต่ละภูมิภาค

แนวโน้มการทำ Technical SEO คืออะไร สำหรับอนาคต

เพราะโลกดิจิทัลนั้นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและ Technical SEO ก็เช่นกัน การติดตามแนวโน้มใหม่ๆ จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณคงความสามารถในการแข่งขันและปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของอัลกอริทึมของเครื่องมือค้นหาและพฤติกรรมผู้ใช้

การค้นหาด้วยเสียง หรือ Voice Search กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีที่ผู้ใช้โต้ตอบกับเครื่องมือค้นหา โดยคาดการณ์ว่าในปี 2025 กว่า 75% ของครัวเรือนในสหรัฐฯ จะมีลำโพงอัจฉริยะ ซึ่งบ่งบอกถึงการพึ่งพาอุปกรณ์สั่งการด้วยเสียงที่เพิ่มขึ้น เช่น Amazon Alexa และ Google Assistant

ข้อควรพิจารณาสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาด้วยเสียง:

  • เน้นคีย์เวิร์ดแบบสนทนา: การค้นหาด้วยเสียงมักจะยาวกว่าและใช้ภาษาสนทนามากกว่าการค้นหาผ่านข้อความ ปรับเนื้อหาของคุณให้เข้ากับคำถามที่ใช้ภาษาธรรมชาติและคีย์เวิร์ดแบบคำถาม
    • ตัวอย่าง: แทนที่จะเน้น “รองเท้าวิ่งที่ดีที่สุด” ให้เน้นที่ “รองเท้าวิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการวิ่งระยะไกลคืออะไร?”
  • ใช้ข้อมูลเชิงโครงสร้างเพื่อเพิ่มโอกาสใน Featured Snippets: ผลลัพธ์การค้นหาด้วยเสียงมักดึงข้อมูลจาก Featured Snippets ใช้ Schema ประเภท FAQ และ How-To เพื่อเพิ่มโอกาสในการถูกเลือกแสดง
  • การทำ SEO ท้องถิ่นสำหรับการค้นหา “Near Me”: การค้นหาด้วยเสียงมักรวมคำถามที่อิงกับตำแหน่งที่ตั้ง การทำ SEO ท้องถิ่นจึงเป็นสิ่งสำคัญ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าโปรไฟล์ Google Business ของคุณเป็นปัจจุบันและข้อมูล NAP (ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์) สอดคล้องกันบนเว็บไซต์ทั้งหมด

2. ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้ของระบบค้นหา

อัลกอริทึมที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของ Google เช่น RankBrain และ MUM หรือ Multitask Unified Model กำลังปรับเปลี่ยนวิธีที่เครื่องมือค้นหาตีความเนื้อหา โดยเน้นการเข้าใจบริบท ความตั้งใจ และความสัมพันธ์ระหว่างหัวข้อต่างๆ มากกว่าการจับคู่กับคีย์เวิร์ดเพียงอย่างเดียว

ผลกระทบต่อ Technical SEO :

  • โครงสร้างของเนื้อหามีความสำคัญ: แบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนๆ ที่ชัดเจนและมีหัวข้อที่อธิบายชัดเจนเพื่อช่วยให้เครื่องมือค้นหาและผู้ใช้ค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้ง่ายขึ้น
  • การเพิ่มประสิทธิภาพแบบอิงกับสิ่งที่มีอยู่จริง: Google กำลังก้าวเข้าสู่การค้นหาที่เน้นสิ่งที่มีอยู่จริงมากขึ้น ซึ่งให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดแทนการใช้คีย์เวิร์ดเพียงอย่างเดียว ใช้เครื่องมืออย่าง Google Knowledge Graph เพื่อทำความเข้าใจการเชื่อมโยงระหว่างแนวคิดและปรับเนื้อหาให้สอดคล้องกัน

3. การนำ Progressive Web Apps (PWAs) มาใช้

PWAs ผสานประสบการณ์ที่ดีที่สุดของเว็บและแอปมือถือเข้าด้วยกัน โดยให้ประสบการณ์ที่รวดเร็วและน่าเชื่อถือ รวมถึงการทำงานแบบออฟไลน์ โหลดเร็ว และมีฟังก์ชันคล้ายแอปพลิเคชัน ในขณะเดียวกันยังสามารถค้นหาได้จากเครื่องมือค้นหา

ประโยชน์ของ SEO จาก PWAs:

  • เวลาในการโหลดที่เร็วขึ้น: PWAs ถูกออกแบบมาให้รวดเร็ว ซึ่งช่วยปรับปรุงคะแนน Core Web Vitals โดยตรง
  • ประสบการณ์บนมือถือที่ดีขึ้น: PWAs ให้การนำทางที่ราบรื่นและมีฟังก์ชันการใช้งานที่ดีบนอุปกรณ์มือถือ ช่วยเพิ่มประสบการณ์ของผู้ใช้และลดอัตราการตีกลับ

เคล็ดลับในการใช้งาน:

  1. Service Workers: เปิดใช้งานการทำงานแบบออฟไลน์และการโหลดที่รวดเร็ว
  2. HTTPS: PWAs ต้องใช้ HTTPS เพื่อความปลอดภัย
  3. ไฟล์ Manifest: ให้ข้อมูลเมตาเกี่ยวกับแอป เช่น ชื่อ ไอคอน และสีธีม

4. การพัฒนา Core Web Vitals ให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

Core Web Vitals กำลังถูกฝังลึกขึ้นในอัลกอริทึมการจัดอันดับของ Google ซึ่งนอกจากจะเป็นปัจจัยในการจัดอันดับแล้ว ยังส่งผลกระทบอย่างมากต่อความพึงพอใจของผู้ใช้ อัตราการตีกลับ และอัตราการแปลง

การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับ Core Web Vitals:

  • Interaction to Next Paint (INP): Google วางแผนที่จะเปลี่ยน First Input Delay (FID) เป็น INP ซึ่งวัดประสบการณ์การโต้ตอบทั้งหมดแทนที่จะเป็นแค่การตอบสนองครั้งแรก
  • เมตริกใหม่สำหรับความราบรื่น: การอัปเดตในอนาคตอาจรวมเมตริกสำหรับการเคลื่อนไหวและการเลื่อนหน้า เพื่อให้มั่นใจว่าราบรื่นและไม่ก่อให้เกิดการรบกวนต่อประสบการณ์ผู้ใช้

ข้อผิดพลาดการทำ Technical SEO และวิธีหลีกเลี่ยง

แม้แต่ความผิดพลาดเล็กๆ ในการทำเทคนิค SEO ก็สามารถนำไปสู่ปัญหาสำคัญได้ นี่คือตัวอย่างข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและวิธีหลีกเลี่ยง:

1. การ block หน้าสำคัญใน Robots.txt

การ block หน้าที่สำคัญโดยไม่ได้ตั้งใจในไฟล์ robots.txt อาจทำให้เครื่องมือค้นหาไม่สามารถไต่หน้าเหล่านั้นได้

วิธีแก้ไข:

ตรวจสอบไฟล์ robots.txt เป็นประจำและให้แน่ใจว่ามีการบล็อกเฉพาะเนื้อหาที่ไม่สำคัญหรือเนื้อหาที่ซ้ำซ้อนเท่านั้น:

User-agent: *

Disallow: /admin/

Disallow: /cart/

2. การจัดการ Canonical Tag ที่ผิดพลาด

การตั้งค่า Canonical Tag ที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้เครื่องมือค้นหาสับสน และนำไปสู่การจัดทำดัชนีหน้าที่ไม่ต้องการหรือการแบ่งสัญญาณการจัดอันดับ

วิธีแก้ไข:

ใช้เครื่องมืออย่าง Screaming Frog เพื่อตรวจสอบแท็กแคนนอนิคอลที่ไม่ถูกต้องหรือขาดหาย ตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกหน้ามีแคนนอนิคอลที่อ้างอิงถึงตนเอง ยกเว้นหากมีการชี้ไปที่ URL ที่ต้องการอย่างชัดเจน

3. การใช้การเปลี่ยนเส้นทางที่ไม่เหมาะสม

การใช้การเปลี่ยนเส้นทาง 302 สำหรับการเปลี่ยนแปลงถาวรอาจทำให้การส่งต่อค่าสิทธิ์ลิงก์ไม่สมบูรณ์

วิธีแก้ไข:

ใช้การเปลี่ยนเส้นทาง 301 สำหรับการเปลี่ยนแปลงถาวรเสมอและทดสอบการเปลี่ยนเส้นทางเพื่อให้แน่ใจว่าใช้งานได้ตามที่ตั้งใจ: Redirect 301 /old-page.html https://example.com/new-page.html

4. การมองข้ามการปรับปรุงรูปภาพ

ภาพขนาดใหญ่ที่ไม่ได้ถูกบีบอัดอาจทำให้เว็บไซต์ช้าลง ซึ่งส่งผลเสียต่อประสบการณ์ผู้ใช้และคะแนน Core Web Vitals

วิธีแก้ไข:

บีบอัดภาพโดยใช้เครื่องมืออย่าง TinyPNG หรือใช้รูปแบบที่ทันสมัยเช่น WebP และเปิดใช้งานการโหลดภาพแบบ Lazy Loading เพื่อปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ

5. การมองข้ามการใช้งานบนมือถือ

แม้จะมีการจัดทำดัชนีสำหรับมือถือเป็นหลักแล้ว แต่หลายเว็บไซต์ยังไม่สามารถให้ประสบการณ์ที่ราบรื่นบนมือถือได้

วิธีแก้ไข:

ทดสอบเว็บไซต์ของคุณอย่างสม่ำเสมอโดยใช้ Google’s Mobile-Friendly Test และตรวจสอบให้แน่ใจว่าองค์ประกอบต่างๆ เช่น ปุ่มและฟอนต์เหมาะสมสำหรับการใช้งานผ่านการสัมผัส

บทสรุป: Technical SEO  คืออะไร

โดยสรุป สามารถเข้าใจได้แล้วว่า Technical SEO คืออะไร และถือว่าเป็นรากฐานที่สำคัญของกลยุทธ์ SEO ที่จะให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จ ในขณะที่เนื้อหาและ backlink มีความสำคัญ เพราะจะไม่สามารถแสดงศักยภาพได้เต็มที่หากเว็บไซต์ขาดความสมบูรณ์ทางเทคนิค การแก้ไขปัญหาการไต่ การจัดทำดัชนี ประสิทธิภาพของเว็บไซต์ และประสบการณ์ผู้ใช้ จะทำให้เว็บไซต์ของคุณไม่เพียงแต่อยู่ในอันดับสูงเท่านั้น แต่ยังมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับผู้ใช้

ขั้นตอนที่นำไปใช้ได้จริง

  1. ดำเนินการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ: กำหนดการตรวจสอบด้านเทคนิค SEO รายเดือนหรือรายไตรมาสเพื่อแก้ไขปัญหาตั้งแต่เนิ่นๆ
  2. ติดตามตัวชี้วัดประสิทธิภาพ: ตรวจสอบ Core Web Vitals สถิติการไต่ และรายงานการจัดทำดัชนี
  3. ติดตามข่าวสาร: SEO มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ติดตามผู้นำในอุตสาหกรรมอย่าง Moz, Ahrefs และ Search Engine Journal เพื่อให้ตามทันแนวโน้ม
  4. ร่วมมือกับทีมของคุณ: ให้แน่ใจว่านักพัฒนา ผู้สร้างเนื้อหา และผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ทำงานร่วมกันเพื่อรักษาเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพทางเทคนิคสูงสุด

ด้วยการนำข้อแนะนำจากคู่มือฉบับนี้ไปใช้ คุณจะสามารถสร้างเว็บไซต์ที่มีความพร้อมทางเทคนิคสำหรับการติดอันดับบนเครื่องมือค้นหาและมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Technical SEO

ควรทำการตรวจสอบด้านเทคนิค SEO บ่อยแค่ไหน?

สำหรับเว็บไซต์ขนาดใหญ่หรือเว็บไซต์ที่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อย ควรตรวจสอบทุกเดือน ส่วนเว็บไซต์ขนาดเล็กและไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงสามารถตรวจสอบทุกไตรมาสได้

การทำ Technical SEO เพียงอย่างเดียวสามารถช่วยเพิ่มอันดับได้หรือไม่?

การทำงานด้านเทคนิค SEOเป็นรากฐานสำคัญ แต่คุณภาพของเนื้อหาและลิงก์กลับก็จำเป็นต่อการเพิ่มศักยภาพในการจัดอันดับให้สูงสุด

เครื่องมือที่ดีที่สุดสำหรับการตรวจสอบการทำ Technical SEO คืออะไร?

เครื่องมือที่ได้รับความนิยมในวงการ เช่น Screaming Frog, Google Search Console และ PageSpeed Insights เป็นเครื่องมือที่ครอบคลุมในการตรวจสอบด้านเทคนิค SEO

พร้อมที่จะยกระดับเว็บไซต์ของคุณแล้วหรือยัง? ติดต่อผู้เชี่ยวชาญรับทำ seo ของเราสำหรับการปรึกษาฟรี และให้เราช่วยคุณครองผลการค้นหาวันนี้