การทำ On-Page SEO ถือว่าเป็นพื้นฐานสำคัญของกลยุทธ์การเพิ่มประสิทธิภาพ Search Engine Optimization ที่ประสบความสำเร็จเพราะเกี่ยวข้องกับการทำให้เนื้อหาและองค์ประกอบทางเทคนิคของเว็บไซต์ทำงานร่วมกันและเพิ่มการมองเห็นบนเครื่องมือค้นหา อย่างไรก็ตาม การปรับปรุง On-Page ไม่ได้เกี่ยวกับการจัดอันดับเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้งานให้ดีขึ้น ทำให้เว็บไซต์ของคุณน่าสนใจและใช้งานได้ง่ายขึ้น
เราจึงมีข้อมูลการปรับปรุงที่เป็นประโยชน์และช่วยให้คุณเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาและปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ได้อย่างมีประสสิทธิภาพ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เริ่มต้นทำ SEO หรือกำลังมองหาวิธีปรับกลยุทธ์ บทความนี้จะช่วยแนะวิธีที่คุณสามารถนำไปใช้ได้จริง และทำงานได้อย่างถูกต้อง
การทำ On-Page SEO คืออะไร
การทำ On-Page SEO จะเกี่ยวข้องกับการปรับแต่งองค์ประกอบต่าง ๆ ภายในเว็บไซต์ของคุณ อย่างเช่น เนื้อหา, ชื่อหัวเรื่อง, การเชื่อม Internal Link และจนไปถึงการตั้งชื่อ URL เพื่อให้ Search Engines เข้าใจเนื้อหาและวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์ได้อย่างชัดเจน เมื่อคุณทำการปรับแต่งอย่างถูกต้อง หน้าเว็บของคุณจะมีความเกี่ยวข้องมากขึ้นกับผู้ใช้งานและง่ายต่อการจัดทำ Index โดยเครื่องมือค้นหา
มากไปกว่านั้น ข้อสำคัญของการเพิ่มประสิทธิภาพองค์ประกอบต่าง ๆ ภายในเว็บไซต์ คือการทำให้เนื้อหาของคุณสอดคล้องกับสิ่งที่ผู้คนกำลังค้นหา ซึ่งไม่เพียงแค่การเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่ถูกต้องเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการตอบโจทย์ความต้องการและความตั้งใจการค้นหานั้นด้วย กล่าวได้ว่า คุณกำลังปรับเนื้อหาของคุณให้ตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการดู พร้อมทั้งทำให้เครื่องมือค้นหาสามารถตีความข้อมูลนั้นได้อย่างถูกต้อง
การทำ On-Page SEO มีความสำคัญอย่างไร
คุณอาจสงสัยว่า “ทำไมต้องปรับปรุงองค์ประกอบต่าง ๆ ภายในเว็บไซต์ในเมื่อยังมีวิธีอื่น ๆ เช่น การสร้างลิงก์ หรือ การทำโซเชียลมีเดีย” คำตอบง่าย ๆ คือ ทำให้คุณควบคุมได้มากกว่า ต่างจากการทำ Off-Page SEO ซึ่งคุณต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอก เช่น การรับลิงก์ย้อนกลับ (backlinks) แต่ เพิ่มประสิทธิภาพหน้าเว็บไซต์เป็นสิ่งที่คุณสามารถปรับแต่งได้บนเว็บไซต์โดยตรง
การปรับแต่งแต่ละหน้าบนเว็บไซต์ให้เหมาะสมช่วยให้คุณมีโอกาสมากขึ้นในการจัดอันดับที่ดีขึ้นบนหน้าผลของการค้นหา เพิ่มการเข้าชมแบบ Organic และปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานให้ดีขึ้นสำหรับผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มการมองเห็นพร้อมทั้งทำให้การใช้งานมีความ Freindly กับผู้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การทำ On-Page SEO กับ 11 วิธีปรับปรุงอย่างมีประสิทธิภาพ
ขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ธุรกิจของคุณได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

1. การทำ On-Page SEO คือการค้นหาเวิร์ดหลักก่อน
หากคุณยังไม่แน่ใจว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณกำลังค้นหาอะไร สนใจอะไร มักจะเป็นเรื่องยากที่จะสร้างเนื้อที่สามารถตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้ การเรียนรู้เกี่ยวกับคีย์เวิร์ดจึงเป็นรากฐานของกลยุทธ์การทำ SEO ทุกประเภทธุรกิจ
ตัวอย่างเช่น เครื่องมืออย่าง Ahrefs, SEMrush หรือ Google Keyword Planner สามารถช่วยให้คุณค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องได้โดยพิจารณาจากปริมาณการค้นหาและระดับการแข่งขัน
อย่างไรก็ตาม อย่าเลือกใช้เฉพาะคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาสูงเท่านั้นแต่ควรพิจารณาความสนใจของการค้นหาด้วย ส่วนมากผู้ใช้ต้องการค้นหาข้อมูลหรือพร้อมจะทำการซื้อสินค้าหรือบริการ หากคุณสามารถปรับเนื้อหาของคุณให้สอดคล้องกับความสนใจของผู้ใช้ได้ จะทำให้การจัดอันดับของคุณดีขึ้นและมีโอกาสเปลี่ยนผู้ใช้มาเป็นลูกค้าในที่สุด
เคล็ดลับ: ใช้คีย์เวิร์ด LSI (Latent Semantic Indexing) เพราะคำเหล่านี้เป็นคำที่มีความสัมพันธ์เชิงบริบทกับคีย์เวิร์ดหลักของคุณ การรวมคำเหล่านี้บนเนื้อหาจะช่วยให้เครื่องมือค้นหามีความเข้าใจที่กว้างขึ้นเกี่ยวกับหัวข้อ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการจัดอันดับสำหรับคำค้นหาที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
2. ปรับแต่ง Meta Titles และ Meta Descriptions
อีกทั้ง Title Tags และ Meta Description จะเป็นสิ่งที่ผู้ใช้งานเห็นเป็นอย่างแรกเมื่อเจอเว็บไซต์ของคุณบนหน้าของผลการค้นหา ไม่เพียงแค่จะมีความถูกต้อง แม่นยำ แต่ต้องดึงดูดความสนใจพี่เพียงพอเพื่อให้เกิดการคลิกเพิ่มขึ้น
การตั้งชื่อหัวข้อ meta ที่ดีควรกระชับ มีความยาวไม่เกิน 60 ตัวอักษร ควรมีคีย์เวิร์ดหลักอยู่ด้วย เพื่อให้การมองเห็นได้อย่างมีประสิทธิภาพควรใส่คีย์เวิร์ดไว้ที่ต้นประโยคด้วย
อย่างไรก็ตาม คำอธิบาย meta อาจจะจะไม่ส่งผลโดยตรงต่อการจัดอันดับ Google แต่ก็มีบทบาทสำคัญของการเพิ่ม CTR การเขียนคำอธิบายที่ดีควรเขียนให้กระชับ ไม่เกิน 160 ตัวอักษร และทำให้เป็นบทสรุปสั้น ๆ ที่น่าสนใจของหน้าเว็บไซต์นั้น ๆ รวมถึงการใช้คำเชิญชวน เช่น “เรียนรู้เพิ่มเติม” หรือ “ค้นหา” เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น
เพิ่มเติม:
ค่า CTR เป็นอีกหนึ่งปัจจัยของการจัดอันดับ แม้ว่า Google จะไม่ได้ระบุว่า CTR มีผลโดยตรงต่อการจัดอันดับ แต่ก็มีหลักฐานเพิ่มมากขึ้นว่าพฤติกรรมของผู้ใช้ เช่น CTR และเวลาที่ใช้บนหน้าเว็บ (Dwell Time) เป็นปัจจัยหนึ่งที่ Search Engines พิจารณาการประเมินคุณภาพของหน้าเว็บ ดังนั้นการปรับปรุง Meta Tags ของคุณสามารถเพิ่ม CTR เว็บไซต์ได้ ซึ่งอาจส่งผลให้การจัดอันดับดีขึ้นตามมา
3. สร้าง URL ที่ชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญของการทำ On-Page
การจัดทำ URL มักเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่หลายคนอาจจะไม่ได้ให้ความสนใจ อย่างไรก็ตามถือว่าเป็นส่วนสำคัญของ การทำงานด้าน On-Page อย่างเช่น ควรตั้งชื่อ URL ที่เรียบง่าย อ่านเข้าใจง่าย และการใส่คีย์เวิร์ดเข้าไปด้วย เพราะชื่อลิงก์ที่ดีควรบอกผู้ใช้งานและเครื่องมือค้นหาถึงเนื้อหาของหน้าเว็บได้ชัดเจนโดยไม่ต้องมีตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ที่ไม่จำเป็น
ตัวอย่าง:
- URL ที่ดี: yourwebsite.com/seo-best-practices-2025
- URL ที่ไม่ดี: yourwebsite.com/2021/10/seo-best-practices/42872?category=seo
ไม่เพียงแค่การตั้งชื่อ URL ให้มิตรกับ SEO นั้นจะต้องกระชับและมีคีย์เวิร์ดเข้าแทรก แต่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO และได้คะแนนเรื่องความเป็นมิตรต่อผู้ใช้งานด้วยเช่นกัน
4. การทำ On-Page SEO ควรมีโครงสร้างหัวเรื่อง
เพื่อการจัดโครงสร้างเนื้อหาให้มีประสิทธิภาพ การตั้งหัวเรื่องของเนื้อหาไม่เพียงช่วยให้เครื่องมือค้นหาตีความข้อมูลและโครงสร้างของหน้าเว็บได้ดีขึ้น แต่ยังช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถอ่านและเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายกว่าเดิม
ตัวอย่าง:
- หัวเรื่องแรก (H1) ควรประกอบด้วยคีย์เวิร์ดหลักของคุณและสามารถบอกได้ชัดเจนว่าหน้านี้เกี่ยวกับอะไร
- ส่วนหัวเรื่องย่อย (H2, H3 และ ฯลฯ) ควรใช้ในการจัดระเบียบเนื้อหาสำคัญรองลงมา
การตั้งชื่อหัวเรื่องในรูปแบบของคำถามจะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บของคุณแสดงผลบนตำแหน่ง Featured Snippet ซึ่งมักอยู่บนสุดของผลการค้นหา และมีโอกาสสูงที่ผู้ใช้จะคลิก

5. เขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงและเกี่ยวข้องกับความต้องการของผู้ใช้
การเขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้องกับความต้องการของผู้ใช้คือสิ่งสำคัญของหลักของการทำงานด้าน On-Page SEO นั่นก็คือตัวเนื้อหาเอง เนื่องจาก Search Engines จะจัดทำดัชนีเนื้อหาเว็บไซต์และสิ่งสำคัญที่สุดคือการได้มาของผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ที่มีความสนใจจากตัวเนื้อหา
เคล็ดลับการเขียนเนื้อหาที่ดีต่อ SEO:
1. ความตั้งใจของผู้ใช้งานเป็นสิ่งสำคัญ: ต้องเข้าใจว่าทำไมผู้คนถึงค้นหาคีย์เวิร์ดเฉพาะเจาะจง จากนั้นปรับเนื้อหาของคุณเพื่อตอบคำถามหรือแก้ปัญหาที่พวกเขากำลังมองหา
2. ใช้ย่อหน้าสั้น ๆ และหัวข้อย่อย: การแบ่งเนื้อหาเป็นย่อหน้าสั้น ๆ และใช้หัวข้อย่อยช่วยให้เนื้อหาอ่านง่าย ซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานให้ดีขึ้น
3. การเลือกใช้รูปภาพมีความสำคัญ: การเพิ่มรูปภาพ อินโฟกราฟิก หรือวิดีโอบนเนื้อหาจะช่วยสร้างประสบการณ์ของผู้ใช้ได้ดีขึ้นและทำให้หน้าเว็บมีความน่าสนใจมากขึ้น
4. ความยาวของเนื้อหาขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของหัวข้อ: สำหรับคู่มือหรือบทความที่ครอบคลุมอย่างละเอียด ควรมีเนื้อหาตั้งแต่ 1,500 ถึง 2,500 คำ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและการแข่งขันของคีย์เวิร์ดนั้น ๆ
เนื้อหาที่ดีและมีคุณภาพสูงควรมีความความชัดเจนและครอบคลุมประเด็นที่สำคัญต่อผู้ใช้งานโดยที่ยังคงความอ่านง่ายและเข้าใจได้ง่าย
6. การเพิ่มประสิทธิภาพบนมือถือและการค้นหาด้วยเสียง
การค้นหาจากมือถือนับว่ามีการใช้งานอย่างกว้างขวางและเติบโตอย่างรวดเร็ว Google จัดทำ Index โดยให้ความสำคัญกับการจัดบนมือถือก่อนเป็นอันดับแรก (Mobile-Firs)t ซึ่งหมายความว่าให้ความสำคัญกับเวอร์ชันมือถือของเว็บไซต์ก่อนในการจัดอันดับ
สิ่งสำคัญการปรับปรุงเว็บไซต์ให้เหมาะกับมือถือ:
- การออกแบบที่ตอบสนอง : ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณสามารถปรับให้เข้ากับขนาดหน้าจอมือถือที่แตกต่างกันได้อย่างราบรื่น
- ความเร็ว: ผู้ใช้งานบนมือถือมีความอดทนน้อยกว่า ดังนั้นควรทำให้เว็บไซต์โหลดได้เร็วขึ้นโดยแก้ไขรูปภาพและลดสคริปต์ที่ไม่จำเป็น
การค้นหาด้วยเสียง หรือ Voice Search กำลังมีการเติบโตเช่นกัน การเพิ่มคีย์เวิร์ดที่เป็นประโยคสนทนาและคำค้นหาแบบ Long-Tail จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้งานด้านนี้
7. การใช้ Internal Link และ Backlink
การเชื่อมโยงลิงก์ภายใน หรือ Internal Link จะช่วยนำทางผู้เข้าชมไปยังหน้าต่าง ๆ บนเว็บไซต์ของคุณควรมีการวางโครงสร้างเว็บไซต์ที่ชัดเจน ทำให้การใช้งานเว็บสะดวกขึ้นและเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งาน นอกจากนี้ยังช่วยให้เครื่องมือค้นหาสามารถรวบรวมข้อมูลเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ลิงก์ภายในจะช่วยให้ผู้เยี่ยมชมสามารถเข้าถึงเนื้อหาอื่น ๆ บนเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น
- ลิงก์ภายนอกจะช่วยเสริมความน่าเชื่อถือของเนื้อหามากขึ้น

8. ใช้ Alt Text ทุกรูปภาพ
รูปภาพมีความสำคัญในการแบ่งเนื้อหาและให้การนำเสนอที่เป็นภาพ แต่ยังมีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO ด้วยการปรับแต่ง alt text ของรูปภาพจะช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจความหมายของรูปภาพได้มากขึ้น และช่วยเพิ่มความเกี่ยวข้องของหน้าเว็บกับคีย์เวิร์ดที่เจาะจงโดยเฉพาะ
ข้อความ Alt ควรอธิบายรูปภาพอย่างชัดเจนและกระชับ และควรใส่คำหลักเป้าหมายในตำแหน่งที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ควรจำไว้ว่าฟังก์ชัน alt text ยังถูกใช้โดยเครื่องมืออ่านหน้าจอสำหรับผู้ใช้ที่มีปัญหาทางสายตาด้วย ดังนั้นจึงควรเน้นที่ความชัดเจนและความถูกต้อง
9. ปรับปรุงความเร็วการโหลดหน้าเว็บ
แน่นอนว่าการโหลดหน้าเว็บที่ช้าอาจส่งผลเสียต่อการจัดอันดับใน Google เพราะอาจทำให้อัตราการตีกลับสูงขึ้น ซึ่งจะกระทบต่ออันดับของคุณได้ วิธีแก้ไขคือการใช้เครื่องมืออย่าง Google PageSpeed Insights เพื่อตรวจหาสาเหตุที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณโหลดช้า และทราบแนวทางการแก้ไขทั่วไป ได้แก่ การบีบอัดรูปภาพ การลดขนาดโค้ด (CSS และ JavaScript) และการใช้แคชของเบราว์เซอร์ให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ
10. ใช้ Schema Markup
Schema markup เป็นประเภทของข้อมูลที่มีโครงสร้าง (Structured Data) ที่ช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาของคุณได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ผลลัพธ์การค้นหาของคุณดูน่าสนใจมากขึ้นโดยการเพิ่ม rich snippets เช่น การให้คะแนน รีวิว หรือคำถามที่พบบ่อย (FAQs)
การใช้งาน Schema markup สามารถเพิ่ม CTR ได้ดีเพราะทำให้การบริการหรือสินค้าของคุณโดดเด่นบนผลลัพธ์การค้นหา นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณมีโอกาสติดอันดับบน featured snippets ซึ่งมักอยู่บนผลการค้นหาทั่วไปและสามารถดึงดูดความสนใจของผู้ใช้มากขึ้น
11. หลีกเลี่ยงการใช้คีย์เวิร์ดมากเกินไปด้านการทำ On-Page SEO
แม้ว่าการใส่คีย์เวิร์ดจำนวนมากในส่วนของเนื้อหาจะช่วยให้ยอดเข้าใช้งานมากยิ่งขึ้น แต่การทำ SEO ที่ใช้คีย์เวิร์ดมากเกินไป (Keyword Stuffing) อาจทำให้การจัดอันดับของคุณแย่ลงได้ การปฏิบัตินี้ส่งสัญญาณให้ Google รู้ว่าคุณพยายามปรับแต่งมากเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่การถูกลงโทษได้
ทางที่ดี ควรเน้นการเขียนเนื้อหาให้เป็นธรรมชาติ ใช้คีย์เวิร์ดตามจุดที่เหมาะสม และมั่นใจว่าเนื้อหาของคุณมีประโยชน์และอ่านง่าย ดังนั้นควรให้ความสำคัญกับการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพเป็นหลัก
บทสรุป การทำ On-Page SEO อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยสรุป การเพิ่มประสิทธิภาพ On-Page SEO เป็นกระบวนการที่ต้องได้รับการดูแลและปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ สิ่งสำคัญคือการสร้างความสมดุลระหว่างการปรับแต่งเพื่อให้ตรงตามหลัก Search Engine Optimization กับการมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีแก่ผู้ใช้งานโดยวิธีการทำที่ดีที่สุด เช่น การค้นหาคีย์เวิร์ดอย่างละเอียด ปรับแต่งชื่อเรื่องให้เหมาะสม ใช้โครงสร้าง URL ที่ชัดเจน และปรับปรุงความเร็วการโหลดหน้าเว็บไซต์สามารถเพิ่มอันดับการค้นหาและมอบคุณค่าที่มากขึ้นให้กับผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ
การทำ SEO ไม่ใช่การหลอกลวงเครื่องมือค้นหา แต่เป็นการทำให้เว็บไซต์ของคุณดูดีที่สุดสำหรับผู้ที่เข้าเยี่ยมชม เมื่อคุณนำกลยุทธ์เหล่านี้ไปใช้คุณจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นตามมา
หากคุณต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์ ติดต่อทีมงานรับทำ SEO เพื่อการออกแบบ ปรับปรุงกลยุทธ์ของคุณและเสริมสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจออนไลน์